รู้ได้อย่างไรว่าสิ่งที่พระพุทธเจ้า

 
pong100000
วันที่  3 ก.พ. 2555
หมายเลข  20486
อ่าน  2,224

รู้ได้อย่างไรว่าสิ่งที่พระพุทธเจ้าค้นพบนิพพานนั้นจะเป็นความสุขที่แท้จริง ในเมื่อเราไม่เคยเข้าถึงจุดนั้นเลย เราจะตอบได้อย่างไร บางครั้งนิพานอาจจะไม่มีจริงก็ได้ เพราะเราไม่ควรเชื่อตามกันมาและไม่ควรฟันธงว่าสิ่งนั้นมีตามที่พระพุทธเจ้าสอน จนกว่าจะค้นพบด้วยตนเอง


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
khampan.a
วันที่ 3 ก.พ. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้และทรงแสดง ทั้งหมด เป็นสิ่งที่มีจริง เป็นสภาพธรรมที่มีจริงแต่ละอย่างๆ พระองค์ทรงเป็นผู้ตรัสรู้ตามความเป็นจริงและทรงแสดงให้สัตว์โลกได้รู้ตาม พระองค์ทรงแสดงว่า สุขอื่นยิ่งไปกว่าพระนิพพาน ไม่มี หมายความว่า พระนิพพาน เป็นสภาพธรรมที่ดับทุกข์ ดับกิเลส เป็นสุขอย่างยิ่ง เพราะพ้นจากความทุกข์ทั้งปวงในสังสารวัฏฏ์ พ้นจากการเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นสภาพธรรมที่ตรงกันข้ามกับสังขารธรรมอย่างสิ้นเชิง พอถึงการประจักษ์แจ้งพระนิพพาน กิเลสย่อมถูกดับไปตามลำดับขั้น

พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอัครสาวก พระอริยสาวกทั้งหลาย ล้วนเป็นผู้ได้ประจักษ์แจ้งพระนิพพาน ซึ่งกว่าจะถึงการประจักษ์แจ้งพระนิพพาน ก็ต้องอาศัยการอบรมบารมี สะสมความดีประการต่างๆ มาแล้ว เป็นระยะเวลาที่ยาวนาน ตามสมควรแก่พระอริยบุคคลนั้นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือ ปัญญา ความเข้าใจถูกเห็นถูก ขาดไม่ได้เลย ซึ่งจะเห็นได้ว่า บุคคลผู้ที่ได้ประจักษ์แจ้งพระนิพพาน มีจริงๆ มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นต้น พระอริยบุคคลขั้นต่างๆ เท่านั้นที่ประจักษ์แจ้งพระนิพพานได้ และ กว่าที่ท่านเหล่านั้นจะได้รู้แจ้งอริยสัจจธรรม ประจักษ์แจ้งพระนิพพานได้นั้น ต้องอาศัยการอบรมเจริญปัญญา สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกในเรื่องของสภาพธรรมที่มีจริงมาแล้วนับชาติไม่ถ้วน

การเป็นพระอริยบุคคลขั้นต่างๆ เป็นได้ด้วยปัญญา และต้องเป็นปัญญาของแต่ละบุคคลจริงๆ ด้วยความเข้าใจที่ถูกต้องในหนทางที่เป็นไปเพื่อความบริสุทธิ์แห่งจิต คือ อริยมรรคมีองค์ ๘ มีสัมมาทิฏฐิ เป็นต้น ถ้าไม่มีปัญญาเลย ก็ไม่สามารถเป็นพระอริยบุคคล ได้

ธรรมทั้งหมด ถ้าไม่ได้ศึกษา ไม่ได้ฟังด้วยความเคารพ ด้วยการตั้งจิตไว้ชอบจริงๆ หรือ เป็นคนไม่ตรงตั้งแต่ต้นแล้ว ย่อมไม่มีทางที่จะเข้าใจได้เลย ยังไม่ต้องกล่าวถึงพระนิพพานก็ได้ เพราะเป็นสิ่งที่ไกลมาก แม้สภาพธรรมที่มีจริงในขณะนี้ ก็ไม่สามารถที่จะเข้าใจได้ ถ้าไม่ได้ฟังไม่ได้ศึกษา ในเมื่อยังไม่เข้าใจสภาพธรรมที่มีจริงในขณะนี้ ก็ไม่สามารถรู้แจ้งอริยสัจจธรรม ประจักษ์แจ้งพระนิพพาน ซึ่งเป็นสภาพธรรมที่ไม่เกิดไม่ดับ ได้

และประการที่สำคัญ เมื่อได้ยินได้ฟังพระนิพพาน ก็อยากจะถึงพระนิพพาน ด้วยความไม่รู้ ด้วยความไม่เข้าใจ ไปทำอะไรด้วยความไม่รู้ ด้วยความเป็นตัวตน ด้วยความเห็นผิด แม้จะมีความเพียร (ที่เป็นอกุศล) มากสักเท่าใด อย่างนี้ ไม่มีวันถึงอย่างแน่นอน ยิ่งจะเพิ่มพูนกิเลสอกุศลให้มีมากขึ้น ครับ.

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
paderm
วันที่ 3 ก.พ. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

สิ่งที่ยังไม่ถึง ก็สมควรอยู่ที่ยังจะไม่ควรเชื่อ อันนี้ก็ถูกต้องในส่วนหนึ่งครับ แต่เมื่อยังไม่ถึงและที่สำคัญยังไม่ได้ศึกษาพระธรรมอย่างละเอียดรอบคอบ จะกล่าวว่าสิ่งนั้นไม่มีเลย ก็ไม่ไ่ด้ ดังนั้น การจะเชื่อ หรือ ไม่เชื่อ จึงเป็นเรื่องของปัญญาเฉพาะของแต่ละบุคคลที่เกิดขึ้น ซึ่งปัญญาจะเกิดได้จนถึงระดับนั้น ก็ต้องเริ่มจากการฟังพระธรรมที่ถูกต้องครับ เมื่อปัญญาถึงระดับนั้น ก็ย่อมเชื่อด้วยปัญญา

ซึ่งเมื่อครั้งที่พระองค์ยังไม่ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ยังเป็นปุถุชน เป็นพระโพธิสัตว์อยู่ แม้ท่านยังไม่ประจักษ์พระนิพพาน แต่พระโพธิสัตว์พิจารณาด้วยปัญญาว่า ในโลกนี้ ย่อมปรากฏธรรมที่ตรงกันข้ามเสมอ คือ มีสุขก็มีทุกข์ มีร้อนก็มีเย็น มีกิเลสก็ย่อมมีสภาพธรรมที่ไม่มีกิเลส (นิพพาน) และเมื่อมีการเกิด ก็ย่อมมีสภาพธรรมที่ไม่เกิด (นิพพาน) จะเห็นนะครับว่า แม้พระโพธิสัตว์ยังไม่ประจักษ์นิพพานก็ตาม แต่ท่านไตร่ตรองด้วยปัญญาตามความเป็นจริงของโลกที่ย่อมมีสภาพธรรมที่ตรงกันข้าม ซึ่งคำว่า นิพพาน ก็คือ สภาพธรรมที่เย็น สงบ ไม่เกิด เพราะเมื่อมีการเกิด ก็ต้องมีการไม่เกิด เมื่อมีทุกข์ ก็ต้องมีสุขที่แท้จริง (นิพพาน) ด้วย เมื่อพระโพธิสัตว์ที่เป็นท่านสุเมธดาบส พิจารณาถูกต้องอย่างนี้ แม้พระองค์ยังไม่ประจักษ์ แต่พระองค์ก็แสวงหาพระนิพพานด้วยการอบรมปัญญา ด้วยการแสวงหาทางที่จะไปสู่นิพพาน คือ สภาพธรรมที่ไม่เกิด เป็นสุข ที่ตรงข้ามกับสภาพธรรมที่กำลังเกิด เป็นทุกข์อยู่ครับ และพระองค์ก็ได้ประจักษ์ด้วยพระองค์เอง เมื่อเป็นพระพุทธเจ้า และสั่งสอนสาวกทั้งหลายให้รู้ตามมากมาย ด้วยการแสดงธรรม ไม่ใช่ให้เชื่อทันที แต่ด้วยให้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม และเมื่อปัญญาเกิด เฉพาะตน ก็รู้ว่านิพพานมีจริงและเป็นสภาพธรรมที่สุขอย่างยิ่งนั่นเองครับ

ถ้าไม่ศึกษา ไม่ฟังพระธรรม ปัญญาก็ไม่เกิด และไม่รู้ว่า ความสุขที่แท้จริงที่ไม่มีกิเลส คืออย่างไร ปัญญาจึงเป็นเรื่องเฉพาะตนครับ

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
เซจาน้อย
วันที่ 3 ก.พ. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

"รู้ได้เฉพาะตน"

ฟังให้เข้าใจและอย่าขาดการฟัง

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
Khun
วันที่ 3 ก.พ. 2555

นั่นนะซิจะรู้ได้อย่างไร เพราะถ้าอยากรู้จริงๆ คงต้องไปให้ถึงสภาวะนิพพานเอง โดยการปฏิบัติตามสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงแนะนำให้ จนกระทั่งค้นพบด้วยตนเอง

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
homenumber5
วันที่ 4 ก.พ. 2555

เรียนท่านเจ้าของกระทู้ ขอเรียนถามท่านว่า

๑. เวลาท่านเรียนวิชาชีววิทยา กายวิภาคหรือ แพทย์บอกว่าท่านมีอาการป่วยเพราะมีร่างกายส่วนนั้นผิดปกติ ท่านไตร่ตรองว่า สิ่งที่ท่านรับรู้นั้น จริงเท็จอย่างไร ท่านอาศัย องค์ประกอบใดมาเป็นเครื่องตัดสินคะ ส่วนดิฉันเคยสงสัยเหมือนท่าน แต่ในวันนี้ ก็ยอมรับและเชื่อว่า นิพพาน มีจริง หากคนที่มาศึกษาพระธรรมสามารถทำได้อย่างพระพุทธเจ้าหรือพระอรหันตสาวกอื่นๆ ได้จริงๆ ดังนั้น เมื่อสงสัยต้องพิสูจน์ คือมาศึกษาให้เห็นด้วยตนเองจะดีไหมคะ

๒. หาก คำตอบ ว่า เราไม่เชื่อว่านิพพาน มีจริง หรือพระพุทธเจ้าไม่ได้นิพพานจริงแล้ว เราไม่ศึกษา ท่านเจ้าของกระทู้จะทำอย่างไร หรือแม้ว่าฟังคำอธิบายมากมายจากผู้ที่เชื่อว่า นิพพานมีจริง แล้วท่านไม่ยอมเชื่อท่านจะทำอย่างไร ลืมไปเลยกับเรื่องนี้ เพราะไม่สนใจ หาใครมาทำให้ท่านเชื่อไม่ได้ ดำรงชีวิตต่อไป หรือค้นหาคำตอบด้วยวิธีอื่นๆ จนกว่าเวลาใกล้หมดจากโลกนี้โดยไม่ได้พัฒนาชีวิตในหนทางใดๆ เลย นอกจากใช้ชีวิตตามปกติ เช่นนั้นหรือไม่

ขออภัยในคำถาม เพียงดิฉันสนใจว่า ผู้ที่เข้ามาอ่านการสนทนาธรรมที่บ้านธัมมะนี้ มีความคิดเริ่มต้นในเรื่องพระธรรมอย่างไร เพื่อจะได้ไปพัฒนาแนวทางชี้แจงกับผู้ที่ยังไม่เชื่อว่าพระพุทธเจ้า นิพพานจริง

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
kinder
วันที่ 4 ก.พ. 2555

ตามการสะสม

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
homenumber5
วันที่ 5 ก.พ. 2555

ขออนุโมทนากับทุกความเห็นค่ะ บางครั้งการอธิบายบ่อยๆ เพื่อให้ยอมรับว่าพระพุทธเจ้านิพพานจริงเพราะเมตตาอยากให้คนฟังเข้ามารับรสพระธรรม หากว่ายังไม่เชื่อ เราก็ต้องคิดแบบท่านความเห็นที่ 6 ค่ะ ว่า เขาคงสะสมมาเพียงนี้

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
แก้วนพคุณ
วันที่ 5 ก.พ. 2555

ขอให้ฟังพระธรรมให้เข้าใจเพียงทีละเล็กละน้อยเท่านั้นแหละครับ ก็จะเห็นพระปัญญาคุณอันยิ่งใหญ่ของพระผู้มีพระภาค จะกล่าวไปไยถึงพระนิพพาน ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
JANYAPINPARD
วันที่ 6 ก.พ. 2555

ตอนที่ไม่ได้ศึกษาพระธรรมก็คิดเหมือนท่านที่ตั้งกระทู้ค่ะ ...

ขอแนะนำให้ลองศึกษาพระธรรมดู เพราะหลายความสงสัยของท่านมีคำตอบ เช่นเรื่องที่ท่านถาม ความสุข ความดี เป็นต้น ...

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
jaturong
วันที่ 6 ก.พ. 2555

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
chaweewanksyt
วันที่ 14 ก.พ. 2555

ชอบความคิดเห็นที่ 5 ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 16  
 
wannee.s
วันที่ 15 เม.ย. 2555

ยิ่งเข้าใจธรรมะ ก็ยิ่งซาบซึ้งพระคุณของพระพุทธเจ้า เพราะธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง ผู้ประพฤติปฏิบัติตาม นำออกจากทุกข์ได้จริง และ ปุถุชนสรรเสริญคุณของพระพุทธเจ้าก็ไม่เท่ากับพระโสดาบัน พระโสดาบันสรรเสริญคุณของพระพุทธเจ้าก็ไม่เท่าพระสกทาคามี พระสกทาคามีสรรเสริญคุณของพระพุทธเจ้าก็ไม่เท่าพระอนาคามี และ พระอนาคามีสรรเสริญคุณของพระพุทธเจ้าก็ไม่เท่ากับพระอรหันต์ ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 17  
 
BORNBYBIGBANG
วันที่ 16 เม.ย. 2555

ถ้าคิดแบบผู้ยังไม่เคยศึกษาธรรมมะเลย คงต้องมองแบบพื้นฐานว่าสิ่งที่เราเคยรู้มาทั้งหมดก่อนหน้านี้ คิดว่ามีสิ่งใดที่น่าจะสามารถเป็นสิ่งที่สุขที่แท้จริงแบบถาวรเท่าที่สรรพสัตว์ในโลกนี้หรือจักรวาลนี้จะหาได้หรือยัง หากมีแล้ว ค้นคว้าต่อไปว่า สิ่งนั้นมีใครปฏิเสธบ้างไหม หากมี ก็ต้องศึกษาคำอธิบายของผู้นั้นครับ แล้วใช้ปัญญาเท่าที่เรามีไตร่ตรองดูว่า น่าจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดหรือยัง หากยัง ก็เสาะแสวงหาต่อไป สำหรับ ธรรมมะตามคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นการเปิดเผยให้รู้สภาพต่างๆ ตามความเป็นจริง อันเป็นหนทางเดียวเท่านั้นที่ทำให้หลุดพ้นจากความทุกข์ได้ และ เข้าถึงสภาวะสูงสุดได้เหมือนกันหมดตามการสั่งสม พระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประกาศแล้ว และมีพระอรหันต์สาวกก็ยืนยันเช่นกัน แต่น่าเสียดายตรงที่ คนทั่วไปสามารถเข้าใจตามได้เพียงตรรกกะ ใช้การศึกษามากอ่านมากจึงเข้าใจได้ว่าเป็นทางที่ถูกต้องที่สุด ส่วนการเห็นตามความเป็นจริงแบบไม่มีข้อกังขาใดๆ แบบผู้บรรลุแล้ว จะเกิดขึ้นได้เฉพาะตนเท่านั้น ไม่มีใครช่วยหรือทำให้เห็นแทนกันได้ ต้องสั่งสมกันต่อไปเรื่อยๆ ครับ ตามความเห็นส่วนตัว

 
  ความคิดเห็นที่ 18  
 
wittawat
วันที่ 19 เม.ย. 2555

ขอแสดงความเห็นความเข้าใจตามกำลัง กับกระทู้นี้

ผมเข้าใจว่าเป็นเรื่องของปัญญาที่เกิดขึ้น ที่จะพิจารณาด้วยความแยบคายเพียงใด ผมคิดว่าพระสูตรหนึ่งจะเป็นประโยชน์เกื้อกูลเรื่องนี้ได้ ผมเองจดจำไม่ได้ทั้งหมด แต่ ที่เกี่ยวข้องกับท่านสุเมธดาบสซึ่งเป็นพระโพธิสัตว์ ก่อนที่จะเป็นพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นี้ เมื่อ ๔ อสงไขยแสนกัปป์ก่อน เบื้องต้นของขณะที่ปัญญาพิจารณาเรื่องบารมี ท่านก็มีความเห็น ความเข้าใจ ที่เกี่ยวข้องกับธรรมที่เป็นปฏิปักษ์กันอยู่ เมื่อความมืดมี แสงสว่างก็มี ฉันใด ความเกิดดับมี ความไม่เกิดไม่ดับก็เป็นธาตุที่ปฏิปักษ์ ต่อความเกิดดับ ข้อนั้น ประการหนึ่ง

ส่วนข้อที่เกี่ยวข้องกับการไม่ควรเชื่อสิ่งใดตามๆ กันมาก็เป็นจริงส่วนหนึ่ง คำถามประการเหล่านี้ยังมีอีกมาก และไม่จบไม่สิ้นด้วย เช่น นรก สวรรค์มีจริงหรือ ไม่เคยเห็นเลย เป็นต้น ซึ่งจริงๆ ถ้าเป็นผู้ที่ละเอียดในการศึกษา ก็สามารถพบคำตอบได้ ในบางคัมภีร์ เช่น โมฆราชันสูตร ถ้าไม่เริ่มที่ศึกษาด้วยความละเอียดก่อน การคัดค้านพระปัญญาของผู้ที่ตรัสรู้แล้ว จะเป็นคุณหรือเป็นโทษประการใด แค่ไหน ซึ่งการฟังธรรม ก็เป็นประโยชน์เกื้อกูลอย่างยิ่ง ที่จะเป็นผู้ที่เห็นถูกยิ่งขึ้น ละเอียดยิ่งขึ้น เคารพในความละเอียดของปัญญาที่ทรงแสดงการตรัสรู้

เพราะฉะนั้น ก่อนอื่น นิพพานคืออะไร? คำที่ใช้นั้นเข้าใจละเอียดเพียงใด เพราะบางบุคคลพูดคำที่ไม่รู้จักเลย ทั้งชีวิต ใช้คำที่ไม่ได้เข้าใจความหมาย ที่ละเอียดเลยทั้งชีวิต เช่น จิต ก็ดี นิพพานก็ดี แล้วจะมีประโยชน์อะไร ถ้าแม้แต่คำที่ใช้ก็ยังไม่ได้ทราบว่าคืออะไร เพราะฉะนั้น ถ้าต้องการเข้าใจ ความละเอียดก็คือ ต้องเริ่มศึกษาด้วยความละเอียด และท่านก็จะได้คำตอบ ด้วยตนเอง จากความเข้าใจของตนเองนั้นแหละครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ