เจริญสติที่นี่ บรรยายธรรมที่ไหน?

 
นาวาเอกทองย้อย
วันที่  12 ธ.ค. 2554
หมายเลข  20152
อ่าน  1,643

ท่านอาจารย์สุจินต์ท่านย้ำเสมอว่า อบรมปัญญาเจริญสติต้องอบรมต้องเจริญทันทีที่มีสภาพธรรมะเกิดขึ้น (ตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง ฯลฯ ) ที่นี่ เดี๋ยวนี้ ไม่ใช่ว่าจะต้องไปที่สำนักโน้น สำนักนี้ เพราะสภาพธรรมะคือความเป็นจริงกำลังเกิดขึ้นอยู่แล้วที่นี่เดี๋ยวนี้ แต่ในการบรรยายธรรม ท่านอาจารย์ก็ไปบรรยายในสถานที่ต่างๆ ทั้งในกรุงเทพฯ ในต่างจังหวัด แม้กระทั่งในต่างประเทศ ถ้าการอบรมปัญญาเจริญสติต้องทำทันทีที่นี่เดี๋ยวนี้ ไม่ต้องไปที่สำนักไหนๆ ก็แล้วทำไมจึงจะต้องไปบรรยายธรรมสนทนาธรรมที่นั่น ที่โน่น ไม่ต่างกับนักปฏิบัติธรรมที่คอยแต่จะไปปฏิบัติที่สำนักโน้นสำนักนี้นั่นเอง ทำไมจึงไม่บรรยายธรรมสนทนาธรรมที่นี่เดี๋ยวนี้ เหมือนกับที่ย้ำให้เจริญสติทันทีที่นี่เดี๋ยวนี้ ถ้ามีผู้ตั้งกระทู้ถามแบบนี้ จะตอบอย่างไรดีครับ?


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 12 ธ.ค. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ธรรมเป็นเรื่องละเอียด ควรแยกระหว่าง เหตุใหเกิดปัญญา คือการฟังพระธรรม และขณะที่ปัญญาเกิดรู้ความจริงว่าเป็นคนละส่วนกัน แต่เกี่ยวเนื่องกันครับ

สำหรับการรู้ความจริงของสภาพธรรม ธรรม คือสภาพธรรมที่มีจริง ที่มีลักษณะ คือจิต เจตสิกและรูป ซึ่งหากศึกษาก็จะเข้าใจว่า จิต คือสภาพรู้ ซึ่งก็มีจริงในชีวิตประจำวัน เช่น การเห็น การได้ยิน กาไรด้กลิ่น การลิ้มรส การรู้กระทบสัมผัส การคิดนึก ล้วนแล้วแต่เป็นจิต ซึ่งก็ปรากฏในชีวิตประจำวัน ส่วนเจตสิก ก็เป็นสภาพธรรมที่มีจริงในชีวิตประจำวัน เช่น ความรู้สึกโกรธ ขุ่นเคืองใจ ชอบ ติดข้อง เป็นต้น ซึ่งก็มีในชีวิตประจำวัน และรูปก็เป็นสภาพธรรมที่มีจริงในชีวิตประจำวัน เช่น สี เสียง กลิ่น รส เย็น ร้อน อ่อน แข็ง ตึง ไหว เป็นต้น แต่ปุถุชนผู้ไม่เข้าใจความจริง ย่อมยึดถือสิ่งเหล่านี้ที่เป็นจิต เจตสิก และรูปที่ปรากฏในชีวิตประจำวันว่าเป็นสัตว์ บุคคล ตัวตนครับ การจะรู้ความจริงว่าเป็นแต่เพียงสภาพธรรม ใช่เรา เพื่อถ่ายถอนความเห็นผิดว่าเป็นสัตว์ บุคคล ก็คือการรู้ธรรม ซึ่งธรรมก็มีอยู่แล้วในชีวิตประจำวัน คือในขณะนี้เอง ก็รู้ความจริงในขณะนี้ รู้เมื่อไหร่ คือรู้เมื่อปัญญาและสติเกิดระลึกรู้ว่าเป็นธรรม ไม่ใช่เรา แต่ละขณะ นี่คือประเด็นในส่วนขณะที่รู้ความจริง แต่ไม่ใช่เหตุที่จะรู้ความจริงก็เป็นคนละส่วนกันครับ

ส่วนเหตุให้รู้ความจริง เหตุให้สติและปัญญาเกิดระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่มีในขณะนี้ คือการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม จากพระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง

ดังนั้น ไม่ว่าสถานที่ใด เวลาไหน เมื่อมีโอกาสได้ฟังพระธรรม ได้ศึกษาพระธรรม ไม่ว่าจะอ่านหรือฟังพระธรรมจากใครที่กล่าวตามพระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง ที่นั้น สถานที่นั้น ก็เป็นที่ที่สมควร เป็นที่ที่เหมาะสมในการเจริญปัญญา เพราะสถานที่นั้นเป็นสถานที่ที่มีเหตุให้เกิดสติระลึก คือมีการฟังพระธรรมนั่นเองครับ จึงจะต้องแยกระหว่างขณะที่สติและปัญญาเกิด เกิดได้ทุกที่ เพราะมีสภาพธรรมปรากฏในชีวิตประจำวันอยู่แล้ว แต่แม้มีสภาพธรรมอยู่ทุกที่ทุกเวลา แต่ก็ต้องอบรมเหตุคือการฟังพระธรรม

ดังนั้น เมื่อเป็นผู้ไม่ประมาท จึงไม่ละเลยในการฟังพระธรรม หากมีเวลา ไม่ว่าสถานที่ใดก็ตามครับ เพราะเป็นเหตุให้เกิดการรู้ความจริงของสภาพธรรมในขณะนี้ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
paderm
วันที่ 12 ธ.ค. 2554

เมื่อได้อ่านพระธรรมที่พระพุทะเจ้าทรงแสดง พระพุทธองค์ทรงเสด็จจาริกไป ณ สถานที่ต่างๆ เพื่อประโยชน์แก่สัตว์โลก คือ การแสดงธรรม โดยไม่ได้เฉพาะเจาะจงเพียงสถานที่หนึ่งสถานที่ใด ที่ใดที่สามารถทำให้สัตว์โลกเข้าใจพระธรรมได้ ที่นั่นพระองค์ทรงแสดงธรรม เพื่อนำไปสู่การระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่มีในขณะนี้ครับ พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมที่พระวิหารเชตวัน เสด็จจาริกไปที่ชนบทที่ต่างๆ เสด็จแสดงธรรมที่เมืองราชคฤห์ ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ที่บุพพาราม ที่เมืองสาเกต ที่เมืองโกสัมพี ที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ที่พรหมโลก ณ สถานที่ต่างๆ มากมาย แสดงให้เห็นครับว่า เพราะไม่ว่าสถานที่ใด หากได้มีโอกาสได้ฟังพระธรรม ย่อมเกื้อกูลกับผู้ที่ได้ฟัง แม้จะได้ฟังมาแล้ว เมื่อได้ฟังอีก ณ เวลาอื่น ณ สถานที่อื่นๆ ก็เป็นประโยชน์ต่อการอบรมปัญญาเพื่อจะนำไปสู่การรู้ความจริงในขณะนี้ และเมื่อมีการแสดงธรรมในสถานที่ต่างๆ ย่อมเป็นเครื่องเตือนให้สติและปัญญาเกิด

ซึ่งจะเห็นตัวอย่างในพระไตรปิฎก เมื่อแสดงธรรมในสถานที่ต่างๆ ก็ทำให้บุคคลที่ได้ฟัง ขณะที่ได้ฟังนั่นเอง สติและปัญญาเกิดระลึกรู้ในลักษณะของสภาพธรรมในขณะนั้น และได้บรรลุธรรมครับ พระพุทธองค์ และท่านอาจารย์สุจินต์ จึงไม่ละเลยโอกาสในการแสดงธรรม จึงไปสนทนาธรรมในที่ต่างๆ เพื่อให้พุทธบริษัทผู้ที่มีศรัทธาได้ฟังพระธรรมมากขึ้น ไม่ใช่ที่เฉพาะพระวิหารเชตวัน ไม่ใช่เฉพาะที่มูลนิธิฯ แต่ในสถานที่อื่นๆ ด้วย เพื่อความเจริญขึ้นของปัญญาของบุคคลเหล่านั้น เพราะบุคคลเหล่านั้นยังไม่มีปัญญาพอที่จะเกิดรู้ความจริง และเมื่ออาศัยการฟังพระธรรมบ่อยๆ ณ สถานที่ต่างๆ ก็ทำให้ปัญญาเจริญขึ้นจนสามารถรู้ความจริงได้ครับ ดังเช่น ท่านพระราหุล ก็ต้องฟังพระธรรมบ่อยๆ ในสถานที่ต่างๆ เพื่อความเจริญขึ้นของปัญญา แม้ท่านพระราหุล จะสามารถเจริญสติ รู้ความจริงในชีวิตประจำวันได้ แต่ถ้าไม่อาศัยการฟังพระธรรมเพิ่มขึ้น ณ สถานที่ต่างๆ ก็ไม่สามารถจะถึงปัญญาระดับสูง ถึงการดับกิเลสได้เลยครับ การฟังพระธรรมจึงเป็นเหตุให้เกิดปัญญารู้ความจริงในขณะนี้ แม้จะรู้ความจริงในขณะนี้ได้ แต่ก็ต้องอาศัยการฟังพระธรรมบ่อยๆ จึงมีการสนทนาธรรมในที่ต่างๆ เพื่อจะได้ฟังพระธรรมเพิ่มขึ้นครับ อันเป็นเหตุให้สติและปัญญาเกิดรู้ความจริงในชีวิตประจำวัน และแม้รู้ความจริงในชีวิตประจำวันแล้ว ก็ต้องอาศัยการฟังพระธรรมอีกบ่อยๆ เพื่อถึงปัญญาสูงสุด คือการดับกิเลสครับ และแม้ดับกิเลสแล้ว พระอริยสาวกผู้ที่เป็นพระอรหันต์ท่านก็ยินดีสนใจฟังพระธรรม สนทนาธรรมต่อไป เพราะเป็นสิ่งที่ประเสริฐ ณ สถานที่ต่างๆ ที่ท่านจาริกไปครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
khampan.a
วันที่ 12 ธ.ค. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

แต่ละบุคคลก็สะสมอวิชชาความไม่รู้และอกุศลธรรมประการมากมายนับชาติไม่ถ้วน ถ้าไม่ใช่เป็นปัญญาที่เป็นความเห็นถูกต้องจริงๆ ก็ไม่สามารถที่จะละคลายกิเลสทั้งหลายทั้งปวงเหล่านั้นได้เลย ปัญญาเท่านั้นที่จะดับกิเลสได้ โดยต้องเริ่มที่การอบรมเจริญปัญญา ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปตามลำดับ พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ๔๕ พรรษา โดยละเอียด โดยประการทั้งปวงนั้น เป็นเครื่องป้องกันความเห็นผิด ป้องกันอกุศลธรรมทั้งหลาย ถ้าผู้ศึกษาเป็นผู้ที่ละเอียดรอบคอบพิจารณาไตร่ตรอง ก็จะพ้นจากความเห็นผิดพ้นจากอกุศลธรรมทั้งหลายได้ เป็นไปเพื่อความเจริญขึ้นของปัญญา และประการที่สำคัญ พระธรรมทั้งหมดเป็นไปเพื่อละตั้งแต่ต้น กล่าวคือ ละความเห็นผิดละความไม่รู้ รวมถึงกิเลสอกุศลประการอื่นๆ ด้วย ทั้งหมดนั้น ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรมจากกัลยาณมิตรผู้ที่มีปัญญาแล้ว ความเข้าใจที่ถูกต้องและการละคลายกิเลส จะเกิดขึ้นได้อย่างไร เป็นความจริงที่ว่า บุคคลผู้ที่ได้เข้าใจธรรมย่อมไม่ตระหนี่ธรรม แต่มีจิตเมตตาที่จะมุ่งอนุเคราะห์เกื้อกูลให้ผู้อื่นได้เข้าใจเหมือนอย่างที่ตนเองได้เข้าใจ เพราะพระธรรมเป็นเรื่องที่ยาก จึงเผยแพร่พระธรรม ประกาศคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้แพร่หลายกว้างขวางมากยิ่งขึ้น "พระธรรม ยิ่งเปิดเผย ยิ่งรุ่งเรือง" ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ก็เป็นเช่นนั้น เป็นผู้มีเมตตาเป็นอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะไป ณ ที่ใด ท่านไม่เคยว่างเว้นจากการที่จะกล่าวธรรม ให้ความเข้าใจที่ถูกต้องแก่ผู้อื่นเลย แม้จะเป็นระยะเวลาที่สั้นหรือมีบุคคลผู้ฟังไม่กี่คน ก็ไม่เป็นประมาณ เพราะทั้งหมดนั้น จะเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่ความเข้าใจถูก เห็นถูกของผู้นั้นจริงๆ เพราะถ้าไม่กล่าว ไม่แสดง ไม่สนทนา คนอื่นจะได้ฟังได้อย่างไร ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม ก็จะเป็นการเปิดโอกาสให้อกุศลจิตเกิดมากยิ่งขึ้น แต่เมื่อได้รับฟังพระธรรมแล้ว ก็ย่อมจะหมดความสงสัยข้องใจในธรรม ซึ่งก็เป็นการปลดเปลื้องความทุกข์อันมีมูลฐานมาจากความไม่เข้าใจพระธรรมให้หมดไปได้ และที่สำคัญ การฟังพระสัทธรรม หาได้ยาก ก็เพราะว่าผู้ที่เข้าใจธรรมตามความเป็นจริงแล้วแสดงนั้น หาได้ยากนั่นเอง กาลสมัยนี้ ยังเป็นยุคที่พระสัทธรรมยังดำรงอยู่ บุคคลผู้ที่เป็นกัลยาณมิตรเผยแพร่พระธรรมตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงก็ยังมีอยู่ จึงเป็นโอกาสที่ดีสำหรับผู้ที่สะสมบุญมาแต่ปางก่อน เห็นประโยชน์ของการได้เข้าใจความจริง จะได้สะสมปัญญาจากการได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมในแต่ละครั้ง สะสมเป็นอุปนิสัยที่ดีต่อไป จนกว่าจะถึงความสมบูรณ์พร้อมของปัญญาได้ในที่สุด เพราะการที่ปัญญาจะมีมากได้ จะเป็นเหตุให้สติเกิดขึ้นระลึกรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงได้นั้น ก็จะต้องเริ่มจากการฟังพระธรรมจากกัลยาณมิตรผู้มีปัญญา สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปทีละเล็กทีละน้อยครับ

... ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ ...

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
pat_jesty
วันที่ 12 ธ.ค. 2554

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
ไตรสรณคมน์
วันที่ 12 ธ.ค. 2554

ควรแยกแยะระหว่างจุดประสงค์ของการบรรยายธรรมกับการเจริญสติค่ะ การบรรยายธรรมนั้นเพื่อให้ผู้ฟังเกิดความรู้ความเข้าใจ อันเป็นหลัก เป็นพื้นฐานของการเจริญสติ จึงมีการบรรยายธรรมในสถานที่ต่างๆ เพื่ออนุเคราะแก่ผู้ฟังเป็นหลัก ส่วนการเจริญสติหรือการที่สติจะเจริญขึ้นได้นั้น ต้องเป็นผลของความเข้าใจจากการฟังมาก่อน สติเกิดโดยไม่เลือกเวลาและไม่เลือกสถานที่ แต่การบรรยายธรรม นอกจากผู้บรรยาย ผู้ฟัง แล้วยังต้องมีสถานที่ด้วยใช่มั้ยคะ?

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
JANYAPINPARD
วันที่ 13 ธ.ค. 2554

[เล่มที่ 23] พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้า 70

แท้จริงพระสาวกทั้งหลายย่อมไม่สามารถจะหาช่องทางพิจารณาสังขารที่เป็นส่วนอดีต ในขณะที่ไม่มีโอกาสเช่นเวลาอาบน้ำ ล้างหน้า เคี้ยว และดื่มเป็นต้นได้ จะพิจารณาได้เฉพาะเมื่อมีโอกาสเท่านั้น ฉันใด พระพุทธเจ้าทั้งหลายไม่เป็นเหมือนเช่นนั้น. ก็พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ทรงพิจารณาสังขารที่ผ่านไปแล้วภายใน ๗ วัน ได้ตั้งแต่ต้นทรงยกขึ้นสู่พระไตรลักษณ์แล้ว ย่อมทรงชี้แจงได้ ขึ้นชื่อว่า ธรรมที่ไม่แจ่มแจ้งแก่พระพุทธเจ้าเหล่านั้น ไม่มีเลย เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่า วิทิตา ทรงรู้แจ่มแจ้งแล้ว.

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
ผู้รู้น้อย
วันที่ 15 ธ.ค. 2554

การเผยแพร่ธรรมที่ถูกต้อง เป็นหน้าที่อย่างหนึ่งของพุทธบริษัท และการเผยแพร่ถ้าจำกัดสถานที่ ศาสนาคงไม่เจริญครับ ดังนั้นการไปบรรยายธรรมในสถานที่ต่างๆ ก็เป็นการอนุเคราะห์ต่อผู้ที่ไม่รู้ธรรมที่ถูกต้อง ให้ได้เพิ่มความรู้ในธรรมที่ถูกต้องยิ่งๆ ขึ้นไปครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
เซจาน้อย
วันที่ 15 ธ.ค. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
chatchai.k
วันที่ 21 ก.พ. 2564

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ