รู้สึกเบี่อมาก ๆ เลย

 
tookta
วันที่  15 พ.ย. 2554
หมายเลข  20032
อ่าน  1,554

แม่ของเราเป็นคนชอบเก็บของที่ผู้อื่นนำมาทิ้งไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า กระเป๋า โต๊ะ ตู้ ตุ๊กดา

ของกระจุ๊กกระจิ๊กจนเต็มบ้านไปหมด ส่วนตัวเราเป็นคนที่ชอบบ้านที่โล่งๆ เป็นระเบียบ

เรียบร้อย พอวันไหนเราหลุดปากพูดไปว่าทำไมวันนี้บ้านรกจังเลย แม่ของเราก็ตีโพยตี

พายไม่พอใจ เราก็พยามบอกเหตุผลว่าจะเก็บมาทำไมมันเกินความจำเป็นของเราเอาไป

บริจาคหรือให้คนอื่นเอาไปใช้ประโยชน์เถอะ เขากลับบอกว่าเป็นความสุขของเขา เราก็

พูดไม่ออกเลย (รู้สึกอึดอัดมากเลย) ถ้าวันไหนรู้สึกหงุดหงิดมากก็จะพูดแรงไปเขาก็จะ

ร้องให้ เราเองก็รู้สึกบาปนะที่ทำให้แม่ร้องให้ (นี่มันคงเป็นเวรกรรมของเราละมั่ง) ครั้น

พอจะทำประชดโดยจะย้ายออกจากบ้านนี้ไปเราก็ทำไม่ได้ (สงสารแม่ต้องอยู่คนเดียว)

บางทีก็นึกอยากจะเป็นคนเลวทิ้งแม่ไปจะได้สบายใจบ้างแต่เราก็ทำไม่ได้ ไม่รู้ว่าตัวเอง

ไปทำกรรมอะไรมาหนอ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 16 พ.ย. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

สัตว์โลกสะสมอุปนิสัยมาแตกต่างกันไป นานาจิตตัง คือ ตามจิต เจตสิกที่เกิดขึ้นและ

สะสม สิ่งต่างๆ มาต่างๆ กัน ซึ่งจากเหตุการณ์นี้ แสดงให้เห็นถึง โลภะ ที่เป็นเหตุแห่ง

ทุกข์และติดข้องได้แทบทุกอย่างและมีกำลัง จนสะสมเป็นอุปนิสัย สะสมความชอบแตก

ต่างกันไป ซึ่งก็ไม่พ้นลักษณะของโลภะ ชอบที่จะเก็บของ ยินดีในสิ่งที่มีมากๆ เก็บไว้

นี่ก็ไม่พ้นความติดข้อง โลภะ และแม้ตัวเราเองที่เป็นลูก ที่ชอบบ้านโล่ง นั่นก็เป็นโลภะ

อีกเช่นกัน ดังนั้น จึงเป็นสภาพธรรมที่เสมอกัน ไม่ว่าจะชอบเก็บของ หรือ ชอบบ้านโล่ง

ก็คือ โลภะเสมอกัน ไม่ต่างกันเลยครับ

ความเข้าใจถูกจะทำให้เข้าใจว่า ไม่พ้นจากอกุศลธรรม และเพราะมีโลภะเกิดขึ้น ก็

ย่อมเป็นปัจจัยให้เกิดโทสะ เมื่อไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการ ไม่ว่าจะไม่ให้เก็บของไว้ โลภะที่

ติดข้องในของที่เก็บไว้ มีอยู่ เป็นปัจจัยให้เกิดโทสะกับผู้เป็นแม่ เมื่อไม่ให้เก็บของ ซึ่ง

ก็คือ เป็นธรรม ไม่ใช่แม่ แต่เป็นอกุศลจิต คือ โลภะ และ โทสะที่เกิดขึ้น และแม้ความ

ไม่พอใจที่เกิดจากการที่บุคคลอื่นไม่ทำตาม ก็มีเชื้อคือ เพราะพอใจที่ติดข้องในความมี

ระเบียบ ก็เป็นปัจจัยเกิดโทสะ เมื่อ สิ่งที่เห็น ที่เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฎทางตา ไม่เป็นดัง

ที่ติดข้องครับ ดังนั้น จึงไม่สามารถโทษใครได้เลย เพราะไม่มีใครให้โทษ มีแต่ธรรมที่

เกิดขึ้น อกุศลธรรมที่เกิดขึ้น ไม่ว่าของใครก็เป็นธรรมใช่เรา ไม่ใช่เขาทั้งสิ้น การอยู่

ด้วยความเข้าใจ ด้วยความเห็นถูก เบื้องต้น ก็จะทำให้เข้าใจและทำหน้าที่ของตนดี

ที่สุด เพราะเข้าใจถูกว่าเป็นจิต เจตสิก ที่สะสมมาแตกต่างกันไป คือ มีอุปนิสัยแตกต่าง

กัน ไม่มีใครเลือก หรือ บังคับบัญชาให้เป็นดั่งใจตนเองได้ เพราะเป็นธรรมและอนัตตา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
paderm
วันที่ 16 พ.ย. 2554

เข้าใจถูกว่า ไม่ว่าเราหรือแม่ ก็เพราะมีโลภะ ความติดข้องเป็นเหตุเสมอกัน แม้ความ

ต้องการเก็บของ และความชอบบ้านโล่ง ก็ไม่พ้นจากอกุศลธรรมทั้งคู่ครับ และเข้าใจถูก

ว่า มีแต่เพียงสภาพธรรมทีเกิดขึ้นและดับไป ไม่มีเรา ไม่มีสัตว์ บุคคล

ที่สำคัญ เมื่อพิจารณาโดยนัยพระสูตรแล้ว ข้อความในจริยาปิฎก แสดงไว้ว่า

เมื่อผู้ทำผิด เป็นผู้มีคุณ ไม่ควรโกรธผู้มีคุณ หากผู้ที่ทำผิดกับเรา ไม่มีคุณกับเราเลย

ควรสงสารเป็นพิเศษ เพราะฉะนั้น บิดา มารดา มีพระคุณหาประมาณมิได้ ควรระลึกถึง

ความดีของท่าน และพิจารณาตามที่ได้กล่าวมา ก็จะเป็นผู้อดทนขึ้นด้วยความเข้าใจ

และทำหน้าที่ที่ดีที่สุด ในฐานะที่ตนเป็นบุตรครับ เพราะคงเหลือเวลาไม่มาก ในการที่

จะได้ดูแล ผู้ที่มีพระคุณ คือ บิดา มารดา ขออนุโมทนาที่ดูแลคุณแม่ด้วยครับ

อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
เซจาน้อย
วันที่ 16 พ.ย. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
วิริยะ
วันที่ 16 พ.ย. 2554

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
JANYAPINPARD
วันที่ 16 พ.ย. 2554

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
khampan.a
วันที่ 16 พ.ย. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ขออนุญาตร่วมสนทนาด้วยครับ สำหรับผู้ที่ยังมีกิเลส เต็มไปด้วยกิเลส อยู่นั้น อกุศลจิต ย่อมเกิดขึ้นมากเป็นธรรมดา เมื่อได้เหตุได้ปัจจัย ก็เกิดขึ้นทันที ชีวิตประจำวันที่ดำเนินไปนั้น ถ้าไม่กล่าวถึงขณะที่เป็นกุศล ขณะที่เป็นวิบาก ขณะที่เป็นกิริยา แล้ว นอกนั้น เป็นอกุศลทั้งหมด ซึ่งไม่ได้มีเพียง การชอบที่่จะเก็บของสะสมของ , การชอบบ้านโล่งๆ หรือหงุดหงิดไม่พอใจเท่านั้น มีมากกว่านี้มาก แม้แต่ในขณะที่บอกว่ารู้สึกเบื่อมากๆ เลย นั้น สภาพจิตเป็นอย่างไร ล้วนเป็นธรรมที่มีจริงที่เกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยทั้งสิ้น ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร เมื่อเป็นธรรมแล้ว ก็ไม่มีสัตว์ บุคคลตัวตน ตามความเป็นจริงแล้ว แต่ละคนเสมอกันหมด ด้วยความเป็นธรรม คือ มีจิตมีเจตสิก มีรูป เกิดขึ้นเป็นไปเหมือนกัน แต่ที่แตกต่างกัน คือ การสะสม และการได้รับผลของกรรมที่ได้กระทำไว้แล้วในอดีต

มารดาบิดา เป็นบุพการีผู้ที่กระทำการอุปการะมาก่อน เป็นผู้ที่มีความเอาใจใส่เลี้ยงดูให้บุตรธิดาเจริญเติบโตอยางปลอดภัย กว่าจะเลี้ยงลูกแต่ละคนจนกระทั่งเจริญเติบโตมีความเป็นอยู่ที่สะดวกสบายนั้น ท่านเหนื่อยมากจริงๆ เมื่อลูกเจ็บป่วย ไม่ว่าจะเป็นกลางดึก ก็พาไปหาหมอรักษาให้ลูกหายเป็นปกติ ฯลฯ เมื่อนึกถึงพระคุณของท่านอย่างนี่แล้ว สิ่งที่ควรทำที่สุดที่บุตรธิดาจะพึงกระทำตอบแทนท่าน ก็คือ เลี้ยงดูท่าน กระทำในสิ่งที่ถูกต้องดีงาม ควรตั้งใจทำหน้าที่ของบุตรธิดาให้ดีที่สุด ไม่มีคำว่ายาก และไม่มีคำว่าสาย ทำได้ทุกเวลาทุกโอกาส ไม่ควรเลยที่จะทำให้ตนเองต้องเดือดร้อนใจในภายหลัง เพราะมีโอกาสแล้ว สามารถจะเลี้ยงดู หรือ กระทำในสิ่งที่ดีงามตอบแทนมารดาบิดาได้ แต่ก็ไม่ได้กระทำ ดังนั้น มีโอกาสแล้ว รีบตอบแทนทันที ทำหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด ครับ. ...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
pat_jesty
วันที่ 16 พ.ย. 2554

อาจจะลองพาคุณแม่ไปเยี่ยมเด็กๆ ตามสถานเด็กกำพร้า แล้วเอาของที่มีไปแจก

พวกเขาดู เขาจะได้ไม่ต้องซื้อ หรือไม่มีแม้เงินจะซื้อของพวกนั้น คนที่ได้ใช้ประโยชน์

จากของเหล่านั้น และความดีใจของพวกเขาอาจจะทำให้ท่านค้นพบความสุขใหม่จาก

การให้แทนก็ได้ค่ะ แต่อย่างไรก็ตาม ทุกอย่างก็เป็นธรรมแต่ละลักษณะเท่านั้นเอง ค่อยๆ

ขัดเกลากิเลส ด้วยการเป็นคนที่ดีขึ้น จากความเข้าใจธรรมค่ะ

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
ผู้ร่วมเดินทาง
วันที่ 16 พ.ย. 2554

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาทุกท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
tookta
วันที่ 16 พ.ย. 2554

ขอขอบคุณทุกท่านที่แนะนำนะค่ะ ก็คงต้องพยายามเก็บอารมณ์ของตัวเองไม่พยายามพูดอะไรออกไป แล้วก็คงจะต้องพยายามจัดเก็บของที่แม่ของเราเก็บเข้ามาให้เป็นระเบียบเท่าที่เราจะทำได้ก็แล้วกัน และพยายามพูดว่านล้อมให้แม่เราให้เก็บของมาให้น้อยที่สุดก็แล้วกัน (มันน่าจะเป็นวิธีที่ดีที่สุดแล้วเพราะไม่รู้จะทำยังไงแล้ว)

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
bsomsuda
วันที่ 17 พ.ย. 2554

จากความคิดเห็นของคุณผเดิม

"..เป็นผู้อดทนขึ้นด้วยความเข้าใจ
และทำหน้าที่ที่ดีที่สุด ในฐานะที่ตนเป็นบุตร.."

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
Nareopak
วันที่ 17 พ.ย. 2554

การเปลี่ยนแปลงผู้อื่นนั้นยากกว่าการเปลี่ยนแปลงตัวเอง (เป็นการสะสมมาของแต่ละคนจึงย่อมมีความแตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นทัศนะคติ ความเชื่อ หรืออื่นๆ ) โดยเฉพาะผู้ที่เป็นมารดา เห็นด้วยกับความเห็นที่๑๑ ต้องอดทนเท่านั้นค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
jaturong
วันที่ 18 พ.ย. 2554

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ