สัตว์ในจักวาล

 
miran
วันที่  11 พ.ย. 2554
หมายเลข  20014
อ่าน  1,602

อยากทราบว่าจำนวนสัตว์ในอนันตจักวาลมีจำนวนที่ตายตัวมั๊ย ผมขอสมมติว่า ถ้า

สัตว์มีจำนวนตายตัวเช่นทั่วทุกจักวาลมี ๑ ล้านชีวิตแล้วทุกปีจะมีพระพุทธเจ้าทรง

อุบัติมาแสดงธรรมแล้วมีสัตว์บรรลุธรรมปีละ๑แสน ภายใน๑๐ปีสัตว์ในอนันตจักวาล

ก็จะหมดสิ้น.หรือว่าสัตว์ในอนันตจักวาลมีจำนวนไม่สิ้นสุด มีการเพิ่มจำนวนตลอดเวลา

เหมือนเราปลูกมะม่วง๑ลูกแล้วเกิดเป็นต้นออกลูกมาเป็นหลายๆ ลูกไม่สิ้นสุดอย่างนี้หรือ

เปล่าครับ ต่างแค่ว่ามะม่วงเป็นไปในลักษณะรูปเป็นปัจจัยให้เกิดรูปต่อไปเรื่อยๆ ส่วน

สัตว์นั้นมีทั้งรูปทั้งนามเป็นปัจจัยให้เกิดรูปนามอื่นๆ ไม่มีที่สิ้นสุดหรือเปล่าครับ

(กรุณาอย่าอย่าตอบอจิณไตยนะครับ ผมอยากทราบแนววิเคราะของท่านผู้รู้ช่วยหาหลัก

ฐานอธิบายหน่อยนะครับ)


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 12 พ.ย. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

สิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ในเรื่อง สิ่งที่นับไม่ได้ ไม่มีที่สิ้นสุด เป็น อนันตะ เช่น

พุทธวิสัย ปัญญาพระพุทธเจ้า ไม่มีที่สิ้นสุด นับไม่ได้ จักรวาล นับไม่ได้ ไม่มีที่สิ้นสุด

และอีกประการหนึ่ง คือ จำนวนของหมู่สัตว์ ไม่มีประมาณ เป็นอนันตะ คือ ไม่มีที่สิ้นสุด

ดังนั้น สัตว์โลกจึงมีไม่สิ้นสุด แม้พระพุทธเจ้าจะอุบัติขึ้นมาในโลก ซึ่งข้อความใน

อรรถกถาแสดงไว้ครับว่า จำนวนพระพุทธเจ้าที่ตรัสรู้มาแล้ว เท่ากับ เม็ดทรายในแม่น้ำ

คงคา นั่นแสดงถึงความมากมายของพระพุทธเจ้าที่ตัสรู้มาแล้วในอดีต แต่ก็ไม่สามารถ

ช่วยสัตว์โลกได้หมด เพราะจำนวนสัตว์โลกเป็นอนัตตะ คือ หาประมาณไม่ได้ ไม่มีที่

สิ้นสุด พระพุทธเจ้าจะตรัสรู้เท่าไหร่ ก็ไม่สามารถช่วยสัตว์โลกได้หมดครับ ประการที่

สำคัญที่สุด ที่พระพุทธเจ้าไม่สามารถจะช่วยเหลือสัตว์โลกได้หมด อีกประการหนึ่ง คือ

ต้องไม่ลืมครับว่า ผุ้ที่จะตรัสรู้ตามพระพุทธเจ้า จะต้องเป็นผู้ที่มีศรัทธา อบรมปัญญามา

ผู้ที่ไม่ได้สะสมปัญญา สะสมศรัทธามา แม้พระพุทธเจ้าจะอุบัติขึ้นเท่าไหร่ก็ไม่สามารถ

ช่วยผู้นั้น ผู้ที่ไม่ได้สะสมศรัทธา สะสมปัญญามาครับ พระธรรมจึงไม่ใช่สาธารณะ

สำหรับสัตว์โลกทั้งหมดที่จะบรรลุได้หมด แม้พระพุทธเจ้าจะอุบัติขึ้นมาในโลกใน

อนาคตครับ อีกประการหนึ่ง ข้อความในอรรถกถาก็ได้แสดงว่า ผู้ที่มีความเห็นผิดที่ดิ่ง

เป็น นิยตมิจฉาทิฏฐิ คือ มีความเห็นผิดที่ดิ่ง เช่นไม่เชื่อเรื่องกรรมและผลของกรรมเลย

เป็นต้น สัตว์เหล่านี้ พระองค์แสดงว่า เป็นตอวัฏฏะ คือ ไม่สามารถจะพ้นจากวัฏฏะการ

เกิดได้ แม้พระพุทธเจ้า กี่ร้อยพระองค์ก็ไม่สามารถช่วยเขาได้ เพราะฉะนั้น จึงไม่มีทาง

เลยที่พระพุทธเจ้าต่อไปในอนาคตที่มีจำนวนหาประมาณไม่ได้ จะช่วยสัตว์โลกได้ทั้ง

หมดตามที่กล่าวมาครับ ซึ่งหากได้อ่านพระธรรม เมื่อพระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรม ทรง

แบ่งสัตว์โลกเป็น 2 จำพวก คือ ภัพพสัตว์ และ อภัพพสัตว์

ภัพพสัตว์คือสามารถบรรลุได้ เพราะสะสมศรัทธา ปัญญา ไม่เห็นผิด ส่วนอภัพพสัตว์

คือ เหล่าสัตว์ที่ไม่สามารถบรรลุได้ เพราะไมได้สะสมศรัทธา ปัญญามาและเห็นผิด

พระองค์ทรงละเว้นชนเหล่านั้นครับ

เห็นไหมครับว่า พระองค์จะตรัสรู้เท่าไหร่ก็ไม่สามารถช่วยเหล่าสัตว์ได้หมด ด้วย

เหตุผล 2 ประการคือ 1. สัตว์มีจำนวน อนันตะ ไม่มีที่สิ้นสุด และ 2.สัตว์โลกสะสมต่างๆ

กันมา ผู้ที่ควรบรรลุก็มี ไม่ควรบรรลุก็มีครับ ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนาครับ

อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
ที่พึ่งที่ระลึก
วันที่ 12 พ.ย. 2554
ขอบคุณและอนุโมทนาครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
miran
วันที่ 12 พ.ย. 2554

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
khampan.a
วันที่ 12 พ.ย. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ขออนุญาตร่วมสนทนาด้วยครับ เมื่อกล่าวถึงสัตว์โลกแล้ว ย่อมไม่พ้นไปจากความเกิดขึ้นเป็นไปของสภาพธรรม คือ จิต เจตสิก และ รูป ถ้าเป็นสัตว์ในภูมิที่มีขันธ์ ๕ ครบ ก็มีทั้งจิต เจตสิก และรูป ถ้าเป็นสัตว์ในภูมิที่มีขันธ์เดียว ได้แก่ อสัญญสัตตาพรหม ก็มีแต่รูปธรรม และถ้าเป็นสัตว์ที่มีขันธ์ ๔ คือ อรูปพรหมบุคคล ก็มีแต่นามธรรม คือ จิต และเจตสิก เท่านั้น แต่เมื่อกล่าวโดยสรุปแล้ว เพราะมีธรรม จึงมีการสมมติว่าเป็นสัตว์โลก เป็นบุคคลนั้น เป็นบุคคลนี้ แท้ที่จริงแล้ว ก็เป็นธรรมแต่ละหนึ่งๆ ที่เกิดขึ้นเป็นไปเท่านั้นจริงๆ ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล ไม่มีตัวตน และ แต่ละคนก็เป็นแต่ละหนึ่ง ไม่ปะปนกันเลย แม้ว่าจะอยู่ร่วมกันเป็นอย่างมากในภพภูมินั้นๆ ก็ตาม สำหรับหมู่สัตว์ที่ได้อบรมเจริญปัญญา สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปตามลำดับ เมื่อปัญญาเจริญขึ้น คมกล้าขึ้น ก็สามารถรู้แจ้งอริยสัจจธรรม ดับกิเลสได้ตามลำดับขั้น สูงสุด คือ ถึงความเป็นพระอรหันต์ เมื่อดับขันธปรินิพพานแล้วไม่มีการเกิดอีกในสังสารวัฏฏ์ เป็นผู้สิ้นทุกข์โดยประการทั้งปวง ส่วนพระอริยบุคคลขั้นต่ำกว่านั้น ในที่สุดแล้วก็จะบรรลุถึงความเป็นพระอรหันต์ ดับกิเลสทั้งปวงได้อย่างหมดสิ้น ดังนั้น จึงกล่าวได้ว่า จะบรรลุถึงความเป็นพระอริยบุคคลดับกิเลสได้ตามลำดับ นั้น ก็ต้องเป็นผู้ได้อบรมเจริญปัญญา ซึ่งสัตว์โลกเพียงส่วนน้อยเท่านั้น ที่จะเห็นประโยชน์ของการได้เข้าใจสิ่งที่มีจริง ได้รับประโยชน์จากพระธรรมตามระดับขั้นของปัญญา ส่วนสัตว์นอกนี้ที่ไม่เห็นประโยชน์ ก็จะเป็นผู้พอกพูนกิเลสให้หนาแน่นมากขึ้น ทำให้ตนเองจมลงอยู่ในสังสารวัฏฏ์ต่อไปอีกนานแสนนานยากที่จะข้ามพ้นไปได้ เป็นผู้เกิดแล้วตาย ตายแล้วเกิด อย่างไม่มีวันจบสิ้น เพราะสังสารวัฏฏ์ ของคนพาลผู้ไม่รู้แจ้ง ย่อมยืดยาว ครับ ...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
เซจาน้อย
วันที่ 12 พ.ย. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ


 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
หลานตาจอน
วันที่ 13 พ.ย. 2554

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
orawan.c
วันที่ 13 พ.ย. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

ขอขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
วิริยะ
วันที่ 14 พ.ย. 2554

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
jaturong
วันที่ 15 พ.ย. 2554

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ