การสร้างในพระไตรปิฎก

 
msharif
วันที่  4 ต.ค. 2554
หมายเลข  19842
อ่าน  1,508

อยากทราบว่าคัมภีร์พระไตรปิฏกมีการกล่าวเรื่องการสร้างไว้อย่างไรบ้าง?


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 4 ต.ค. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย เป็นคำถามที่กว้าง ขอกล่าวโดยรวมนะครับ

สำหรับการสร้าง ซึ่งก็คือ การเกิดขึ้นของสิ่งหนึ่งสิ่งใดนั่นเองครับ สำหรับสิ่งต่างๆ ที่มีพระพุทธเจ้าทรงแสดง โลก ว่ามี 3 ประการคือ 1.โอกาสโลก 2.สัตวโลก 3.สังขารโลก โอกาสโลก คือ โลกที่เป็นที่อยู่ของหมู่สัตว์ เช่น จักรวาล ดวงดาว โลกเราใบนี้ เป็นต้น สัตวโลก คือ โลก คือ หมู่สัตว์ เช่น มนุษย์ เทวดา สัตว์เดรัจฉาน เป็นต้น สังขารโลก คือ สังขารธรรมที่เป็นสภาพธรรมที่มีจริงที่เกิดขึ้นและดับไป นั่นคือ จิต เจตสิกและรูป

ดังนั้นเมื่อเรากล่าวถึง การสร้าง คือ การเกิดขึ้นของสิ่งต่างๆ สำหรับโอกาสโลก คือ ที่อยู่ ของหมู่สัตว์ที่เป็นจักรวาล ดวงดาว โลกใบนี้ ในความเป็นจริงก็คือสภาพะรรมที่เป็นรูปธรรม ประชุมรวมกัน จึงบัญญัติว่าเป็นโลกนี้ จักรวาล ดวงดาวนี้ครับ เพราะฉะนั้น จักรวาล โลกนี้ก็ มีเหตุปัจจัย เป็นไปตามสภาพธรรมที่เป็นรูปธรรมทีเกิดขึ้นและดับไปอยู่ตลอดเวลา จักรวาล ดวงดาว จึงเกิดขึ้นและดับไป ซึ่งเมื่อถึงคราวที่กัปพินาศ จักรวาลทั้งหมดก็ต้องแตกทำลาย ไปและเกิดขึ้นใหม่อีก ตามรูปธรรมทีเกิดขึ้นและดับไปไม่มีที่สิ้นสุด อันเป็นธรรมดาของ สภาพธรรมที่เป็นสังขารธรรมครับ นี่คือการเกิดขึ้น การสร้างของโอกาสโลกที่เป็นรูปธรรมที่ ประชุมรวมกัน เรียกว่าโลก จักรวาลที่เป็นที่อยู่ของหมู่สัตว์ครับ

สังขารโลก คือ สภาพธรรมที่มีปัจจัยปรุงแต่งเกิดขึ้นและดับไป อันมุ่งหมายถึงสภาพธรรม ที่มีจริงที่เป็น จิต เจตสิกรูป ดังนั้นสภาพธรรมที่เป็นจิต เจตสิกและรูป ไม่มีใครสร้าง ไม่มี เทพเจ้า พรหม ผู้ใด บันดาลให้เกิดขึ้น สร้างขึ้น และไม่มีผู้ใดสร้างขึ้น แต่สังขารโลก คือ สภาพธรรมที่มีจริงเกิดขึ้นเพราะอาศัยเหตุปัจจัยประการต่างๆ นั่นคือ อาศัยสภาพธรรมอื่นๆ เกิดขึ้นร่วมกัน จึงเป็นปัจจัยให้เกิด สังขารโลกได้ เช่น รูป อาศัยรูปอื่นๆ ประชุมรวมกันเกิด ขึ้นและดับไป และจิตอาศัยเจตสิกเกิดขึ้นร่วมกัน จึงเกิดขึ้น สร้างขึ้นโดยตัวธรรมอื่นๆ ครับ เจตสิกก็อาศัยจิตเกิดขึ้นเป็นไป ร่วมกันทำให้เจตสิกเกิดขึ้นครับ นี่แสดงให้เห็นถึงสภาพธรรมเกิดขึ้นได้ หรือ สร้างขึ้นโดยเหตุปัจจัยประการต่างๆ อันเป็น สภาพธรรมแต่ละอย่างเกื้อหนุนให้เกิดขึ้นครับ และยังมีปัจจัยอื่นๆ อีกมากมาย ที่ทำให้

สังขารธรรม คือ จิต เจตสิกและรูปเกิดขึ้นครับ แต่ปัจจัยเหล่านั้นที่ทำให้สังขารโลก ที่เป็น จิต เจตสิก รูปเกิดขึ้นต้องเป็นสภาพธรรมที่มีจริงครับ

สัตวโลก คือ หมู่สัตว์ ใครสร้างสัตว์ขึ้น ใครสร้างมนุษย์ ไม่ใช่เทพเจ้า พระเจ้า หรือ สัตว์ บุคคลใดทำให้เกิดขึ้น แต่เพราะอาศัยสภาพธรรมที่มีจริง เพราะมีกรรม มีการการกระทำ กรรมต่างๆ เมื่อกรรมให้ผล ก็ทำให้มีการเกิดขึ้นของจิต เจตสิกและรูป อันสมมติว่าเป็นสัตว์ บุคคล เป็นมนุษย์ เป็นเทวดา ดังนั้น ไม่มีใครสร้างมนุษย์ หรือ สัตว์ต่างๆ กรรมที่ทำนั่นเอง ทำให้มีการเกิด ดังนั้นท่านจึงเปรียบ กรรมว่าเป็นเหมือนบิดา ผู้ให้กำเนิด ผู้สร้างที่แท้จริงที่ ทำให้เกิดเป็นสัตว์ต่างๆ และที่สำคัญ เพราะมีอวิชชา ความไม่รู้และกิเลส ก็ทำให้มีการ กระทำกรรมและยังมีการเกิดเป็นมนุษย์ เป็นสัตว์ต่างๆ ดังนั้น อวิชชา ความไม่รู้ เป็นผู้สร้าง สรรพสิ่งที่เป็นสัตว์โลก ให้เกิด ตาย อยู่ร่ำไป พระพุทธเจ้าจึงเปรียบอวิชชา ว่าเป็นทั้งพ่อ และแม่ที่ให้กำเนิดเป็นผู้สร้างที่แท้จริงครับ

ประโยชน์ในการเข้าใจในเรื่องการสร้าง คือ การเกิดขึ้นของสรรพสิ่ง คือ ไม่มีผู้สร้าง ไม่มี ใครดลบันดาลให้สรรพสิ่งเกิด มีแต่สภาพธรรมที่ทำให้เกิดขึ้นและดับไป เป็นปัจจัยต่างๆ ที่ ทำให้เกิดขึ้น จึงไม่มีเรา ไม่ตัวตนที่จะทำ จะสร้าง แต่เป็นไปตามเหตุปัจจัยของสภาพธรรม ทั้งสิ้นครับ พระไตรปิฎกจึงได้แสดงการสร้างหรือการเกิดของสรรพสิ่ง หลากหลายนัย แต่ก็ ไม่พ้นจากความจริงที่เป็นสภาพธรรมทีเป็น จิต เจตสกิและรูปครับ แม้จักรวาล ก็ไม่พ้นจาก รูปธรรม แม้สัตว์โลกก็ไม่พ้นจากจิต เจตสิก รูปและสังขารโลกก็คือจิต เจตสิกและรูปอีกเช่น กัน ความจริงมีแต่ธรรมไม่ใช่เราที่เป็นผู้สร้าง ทำให้เกิดสรรพสิ่งครับ

ขออนุโมทนา

อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
khampan.a
วันที่ 4 ต.ค. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

เมื่อได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ก็จะค่อยๆ เข้าใจเพิ่มขึ้นว่า สิ่งที่มีจริง ที่เกิดเพราะปัจจัยปรุงแต่ง อันได้แก่ จิต เจตสิก ซึ่งเป็นนามธรรม เป็นธรรมที่รู้อารมณ์ และ รูปธรรม ทั้งหมด นั้น ไม่ได้เกิดขึ้นมาลอยๆ ไม่มีใครสร้าง ไม่มีใครบันดาล แต่ต้องเกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย เมื่อเกิดแล้ว ก็ต้องดับไป แตกสลายไป เป็นธรรมดา นี้ คือ ความหมายของโลก เมื่อได้ฟังแล้ว มีการคิด พิจารณาไตร่ตรองในความเป็นเหตุเป็นผลของธรรม จะทำให้มีความเข้าใจเพิ่มขึ้น มั่นคงในความเป็นจริงของธรรม มากขึ้น เพราะธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสรู้และทรงแสดงนั้น สามารถศึกษาและเข้าใจได้ ทุกขณะ มีธรรม ที่จะให้ศึกษาอยู่ตลอดเวลา ซึ่งไม่พ้นจากทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย และ ทางใจเลย ไม่พ้นจากโลก ๖ โลกนี้เลย เมื่อเป็นโลกแต่ละโลก คือ เป็นสภาพธรรมแต่ละอย่างๆ ก็ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล ไม่มีตัวตน ไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใด มีแต่ธรรม เท่านั้น บุคคลผู้ที่จะสิ้นสุดการเดินทางในสังสารวัฏฏ์ เป็นผู้ถึงที่สุดแห่งโลก ไม่ต้องมีการเกิดในสังสารวัฏฏ์ ไม่มีจิต เจตสิก และรูป เกิดขึ้นอีกเลย ท่านเหล่านั้น ก็ต้องรู้แจ้งโลก ทั้ง ๖ โลกนี้ เท่านั้น ซึ่งก็มีจริงในขณะนี้นั่นเอง ประโยชน์สูงสุดของการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม เพื่อเข้าใจธรรมตามความเป็นจริง แม้แต่ในเรื่องโลก จะมีความเข้าใจถูกเห็นถูกตามความเป็นจริงได้นั้น ก็ต้องศึกษา ต้องฟังจากบุคคลผู้ทรงเป็นโลกวิทู (ผู้ทรงรู้โลกอย่างแจ่มแจ้ง) คือ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เท่านั้น ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
jaturong
วันที่ 5 ต.ค. 2554
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
akrapat
วันที่ 6 ต.ค. 2554
ตัณหา สร้างโลก
 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
nong
วันที่ 7 ต.ค. 2554

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
SRPKITT
วันที่ 9 ต.ค. 2554

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
chatchai.k
วันที่ 23 มิ.ย. 2564

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ