เวทนาทั้งปวงเป็นเหตุแห่งทุกข์ใช่ไหม

 
pyai
วันที่  24 ก.ย. 2554
หมายเลข  19793
อ่าน  1,336

กระผมอ่านบทความบ้าง ฟังธรรมบรรยายบ้าง มีกล่าวถึงเวทนาไว้มากมายทั้งโดยย่อ

และโดยแยบคาย กระผมสงสัยว่าเวทนาคงเป็นเหตุให้กระผมติดข้องถอนได้ยาก

สุข ทุกข์ ที่เป็นเวทนาทางกายก็ดี ทางใจก็ดี ถอนออกได้หรือไม่ครับกระผม


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 24 ก.ย. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย เมื่อกล่าวว่าเหตุให้เกิดทุกข์นั้น ก็สามารถกล่าวได้หลายนัย หลากหลายมากมาย

เช่น จะกล่าว่า เพราะมีตัณหา เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ คือ ทุกขสมุทัย หรือ เพราะมีขันธ์ 5

ก็เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ หรือ เพราะมีการเกิด ก็เป็นปัจจัยให้เกิดทุกข์กายและทุกข์ใจ และ

เมื่อกล่าวถึง เวทนาก็เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ได้เช่้นกันครับ

เวทนา คือ ความรู้สึก เวทนาเป็นสภาพธรรมที่มีจริง ที่เป็นเจตสิก เกิดกับจิตทุก

ประเภท ดังนั้นเมื่อจิตเกิดขึ้น ก็จะต้องมีความรู้สึก คือ มีเวทนาเสมอครับ ซึ่งเวทนา

ความรู้สึก แบ่งได้ 5 อย่าง คือ โสมนัสเวทนา (ความรู้สึก สุขทางใจ) สุขเวทนา (ความ

รู้สึกสุขทางกาย) อุเบกขาเวทนา (ความรู้สึกเฉยๆ ) โทมนัสเวทนา (ความรู้สึกทุกข์ใจ)

ทุกขเวทนา (ความรู้สึกทุกข์กาย)

ซึ่งในปฏิจจสมุปบาท แสดงว่า เวทนา เป็นปัจจัยให้เกิดตัณหา ความหมายคือ เพราะมี

ความรู้สึก สุขและทุกข์เป็นปัจจัยให้ยินดี พอใจ ติดข้องเกิดขึ้น เพราะฉะนั้นในขณะนี้ที่

เราแสวงหา ต้องการติดข้อง เพราะเราติดเวทนา ติดความรู้สึกที่ดี ที่ทำให้เรามีความสุข

เมื่อเรามีความสุขในสิ่งนั้นก็ปรารถนา ติดข้อง แสวงหาในสิ่งนั้นเพิ่มขึ้น เมื่อไม่ได้ใน

สิ่งนั้นตามที่ติดข้องก็เป็นทุกข์ใจ และเมื่อมีการกระทำผิดที่เป็นอกุศลกรรม เพราะเมื่อ

ติดเวทนาความรู้สึกก็เกิดตัณหา ต้องการ จึงแสวงหาด้วยการกระทำที่ผิด ทำบาป เมื่อ

ทำบาปแล้วก็ทำให้มีการเกิด (ชาติ) เมื่อมีการเกิด มีการเกิดในนรกเป็นต้น ก็ต้องได้รับ

ทุกข์กายมากมาย ได้รับทุกข์ใจด้วยเมื่อทุกข์กาย ก็เกิดความทุกข์มากมายนับไม่ถ้วน

เพราะอาศัยเวทนาเป็นปัจจัยจึงทำให้เกิดทุกข์ตามที่กล่าวมาครับ และเราก็ติดข้องแม้

ความรู้สึกเฉยๆ เช่น เฉยๆ ก็ดี ไม่เดือดร้อน และก็ติดข้องแม้ทุกข์กาย ความรู้สึกทุกข์

กายก็ได้ครับ เช่น บางคนก็ชอบความเจ็บปวด แสวงหา ความเจ็บปวด เป็นต้น

เวทนาจึงเป็นปัจจัยให้เกิดตัณหา คือ โลภะและย่อมนำมาซึ่งทุกข์ประการต่างๆ ทั้ง

ทุกข์กาย ทุกข์ใจ และทุกข์คือการเกิด ตายอยู่ร่ำไปครับ

การจะถอนเวทนาออกจากใจ หรือ การถอนความรู้สึก สุข ทุกข์ออกจากใจ ก็เท่ากับ

ไม่ใ้ห้เวทนา ความรู้สึกเกิดขึ้นอีก ซึ่งเวทนาเกิดกับจิตทุกดวง ดังนั้นก็เป็นอันว่า ถ้าจะ

ดับเวทนาก็เท่ากับดับ จิต เจตสิกทั้งหมด ซึ่งผู้ที่จะดับเวทนา ความรู้สึกและจิต เจตสิก

รูปทั้งหมดถาวร ไม่เกิดอีกเลย คือ พระอรหันต์ที่ดับขันธปรินิพพาน ซึ่งหนทาง ก็ด้วย

การอบรมปัญญา เจริญอริยมรรค โดยเริ่มจากการฟังพระธรรมไปเรื่อยๆ ครับ และวันหนึ่งก็

จะถึงการดับกิเลส และก็จะไม่มีการเกิดขึ้นของจิต เจตสิกและรูปอี ก ก็ชื่อว่าดับเวทนา

ดับเหตุแ่ห่งทุกข์ทั้งปวงครับ ขออนุโมทนา

อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
khampan.a
วันที่ 24 ก.ย. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น เวทนา เป็นสภาพธรรมที่มีจริง เป็นความรู้สึก ไม่มีตัวตนที่รู้สึก แต่เป็นกิจหน้าที่ของสภาพธรรม คือ เวทนาเจตสิก นี้เอง เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่, เวทนา เป็นเจตสิกที่เกิดร่วมกับจิตทุกประเภท ทุกขณะ ขึ้นอยู่กับว่าจะเกิดร่วมกับจิตประเภทใด ยกตัวอย่าง เช่น ถ้าเกิดร่วมกับจิตเห็น ก็เป็น อทุกขมสุขเวทนา (เฉยๆ ) ถ้าเกิดร่วมกับจิตที่มีโลภะเป็นมูล บางครั้งก็เป็นโสมนัสเวทนา บางครั้งก็เป็น อทุกขมสุขเวทนา,

ถ้าเกิดร่วมกับกุศลจิต บางครั้งก็เป็นโสมนัสเวทนา บางครั้งก็เป็น อทุกขมสุขเวทนา, แต่ถ้าเป็นโทมนัสเวทนาซึ่งเป็นความรู้สึกไม่สบายใจ ต้องเกิดร่วมกับอกุศลจิตประเภทที่มีโทสะเป็นมูล โทมนัสเวนาจะไม่เกิดร่วมกับจิตประเภทอื่นเลย นอกจากโทสมูลจิต เท่านั้น, นี้คือ สภาพธรรมทีมีจริงประเภทหนึ่ง คือ เวทนา เวทนา เป็นสภาพธรรมที่เกิดดับ จึงเป็นทุกข์ เพราะเกิดขึ้นแล้ว ไม่สามารถดำรงอยู่ได้ ต้องดับไป และยังเป็นเหตุแห่งทุกข์ ได้ด้วย เมื่อต้องการความรู้สึกที่สบายๆ แล้วไม่ได้ หรือ พลัดจากจากความรู้สึก นั้นๆ ก็เป็นทุกข์ ไม่สบายใจ ซึ่งจะเป็นเหตุแห่งทุกข์สำหรับผู้ที่มีกิเลสเท่านั้น เพราะถ้าเป็นผู้ที่ดับกิเลสหมดแล้ว ถึงความเป็นพระอรหันต์ กิเลสใดๆ ย่อมไม่เกิดขึ้น ไม่มีทุกข์เพราะกิเลสอีกต่อไป แต่ท่านก็ยังมีขันธ์เป็นไป ยังมีจิต เจตสิก รูป เกิดขึ้นเป็นไป ยังมีเวทนาเกิดขึ้นเป็นไป เพราะพระอรหันต์ยังมีเวทนาที่เกิดร่วมกับจิต ๒ ชาติ คือ ชาติวิบาก กับ ชาติกิิริยา แต่เวทนาที่เกิดร่วมกับกุศลจิต กับ เวทนาที่เกิดร่วมกับ อกุศลจิต ไม่เิกิดอีกเลย จนกว่าท่่านจะดับขันธปรินิพพาน เมื่อดับขันธปริินิพพานแล้ว ไม่มีการเกิดอีกเลยในสังสารวัฏฏ์ ไม่มีสภาพธรรมใดๆ เกิดขึ้นอีกเลย

ตามความเป็นจริงแล้ว สิ่งที่จะต้องละ คือ ความเห็นผิด และ กิเลสประการต่างๆ ซึ่งจะต้องละได้ด้วยปัญญาเท่านั้น ถ้าดับกิเลสใดๆ ได้แล้ว เวทนาที่เกิดร่วมกับกิเลสประเภทนั้น ก็ถูกดับไปด้วย เช่น พระโสดาบัน ท่านดับความเห็นผิดได้ทั้งหมด ดังนั้น โลภมูลจิตที่เกิดร่วมกับมิจฉาทิฏฐิ ไม่เกิดอีกเลยสำหรับพระโสดาบัน นั่นก็หมายความว่า เวทนาที่เกิดร่วมกับโลภมูลจิตที่เกิดร่วมกับมิจฉาทิฏฐิ ก็ไม่มีด้วยเช่นกัน การที่จะดำเนินไปถึงซึ่งการดับกิเลสไ้ด้นั้น ต้องเริ่มที่การอบรมเจริญปัญญา สะสมความเข้าใจถูก เห็นถูก ไปตามลำดับ ไม่ใช่เรื่องเร่งรีบ เพราะจะต้องจะสะสมความเข้าใจถูก เห็นถูกไปทีละเล็กทีละน้อย จริงๆ ทุกข์ทั้งหลายที่มี เพราะมีกิเลสดังนั้น การที่จะดับทุกข์ ก็ต้องดับที่เหตุ คือ กิเลสทั้งปวง หนทางแห่งการอบรมเจริญปัญญา จึงเป็นหนทางที่เป็นเพื่อการดับกิเลสในที่สุด ครับ. ...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
nong
วันที่ 25 ก.ย. 2554

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
ผู้ร่วมเดินทาง
วันที่ 25 ก.ย. 2554

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
jaturong
วันที่ 27 ก.ย. 2554
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
เซจาน้อย
วันที่ 11 พ.ย. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ