อยากทราบการเกิดของมรรคจิตครับ

 
vinmool
วันที่  14 ก.ย. 2554
หมายเลข  19728
อ่าน  7,378

เราจะทราบได้อย่างไรถึงการเกิดของมรรคจิต ท่านผู้ปฏิบัติท่านใดทราบช่วยกรุณาตอบด้วยครับ 14 กันยายน 54 (21.17 น.)


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 14 ก.ย. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

เริ่มจากคำว่า มรรคจิต คือ จิตที่สัมปยุตต์ด้วยองค์มรรค หมายถึง โลกุตรกุศลจิต ซึ่งมีเจตสิกที่เป็นองค์มรรค ๘ ทำกิจปหาณกิเลสเป็นสมุจเฉทจิตที่เป็นโลกุตตรกุศล มรรคจิตทำกิจหน้าที่ดับกิเลส และมีพระนิพพานเป็นอารมณ์โลกุตรกุศลจิต หรือ มรรคจิตมี ๔ ดวงหรือ ๔ ประเภท คือ
๑.โสดาปัตติมรรคจิต
๒. สกทาคามิมรรคจิต
๓. อนาคามิมรรคจิต
๔. อรหัตตมรรคจิต
มรรคจิตเป็นกุศลขั้นสูง ที่เป็นโลกุตตรกุศล ซึ่งกว่าจะถึงกุศลขั้นนี้ที่จะทำให้ถึงความเป็นพระอริยเจ้าระดับขั้นต่างๆ คือ ถึงความเป็นพระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามีและพระอรหันต์ ถึงการดับกิเลสประการต่างๆ ด้วยมรรคจิต ก็ด้วยการอบรมปัญญา จากเบื้องต้น คือ เริ่มจากการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม จนปัญญาเกิดรู้ความจริงของสภาพธรรมที่มีจริงในขณะนี้ที่เป็นการปฏฺบัติธรรม คือ การเจริญสติปัฏฐาน และอบรมการเจริญสติปัฏฐานบ่อยๆ จนเป้นปัจจัยให้ปัญญามีกำลังกล้า ถึงระดับวิปัสสนาญาณ แต่ละขั้น จนถึงสุดท้าย สามารถเกิดปัญญาที่เป็นระดับมรรคจิต มีพระนิพพานเป็นอารมณ์และทำกิจหน้าที่ดับกิเลส แสดงให้เห็นว่า กว่าจะถึงปัญญา หรือ กุศลระดับมรรคจิตนั้น ยากแสนยากและยาวไกล อย่างมากเพราะต้องอาศัยการอบรมปัญญาอย่างยาวนานที่เรียกว่า จิรกาลภาวนา ซึ่งในพระไตรปิฎก ก็มีตัวอย่างมากมาย ของพระอริยสาวก ที่ท่านเจริญปัญญา อบรมมาอย่างยาวนาน เช่น แสนกัป กว่าจะถึง การเป็นพระโสดาบัน เกิด โสดาปัตติมรรคจิตเกิดขึ้นทำกิจประหารกิเลสในบางประการครับ จึงเป็นเรื่องยากอย่างยิ่งครับ ซึ่ง มรรคจิต ทั้ง 4 นั้นจะเกิดครั้งเดียวเท่านั้นในสังสารวัฏฏ์ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
paderm
วันที่ 14 ก.ย. 2554

ซึ่งสำหรับคำถามที่ว่า เราจะทราบได้อย่างไรถึงการเกิดของมรรคจิต

พระพุทธศาสนาเป็นเรื่องของปัญญา การรู้ตามความเป็นจริง แม้การเกิดขึ้นของมรรคจิต ก็ต้องเป็นเรื่องของปัญญาอีกเช่นกัน ดังนั้น เมื่อถึงมรรคจิตจริงๆ ในขณะนั้นปัญญาก็สามารถรู้ได้ครับ จึงต้องถึงปัญญาตรงนั้นจริงๆ ครับ เปรียบเหมือนผู้ไม่เคยเห็นต้นสาละ แม้จะมีผู้บรรยายลักษณะ รูปร่างอย่างไร ก็ไม่สามารถที่จะรู้จักต้นสาละได้จริงเพราะยังไม่ประจักษ หรือ เห็นต้นสาละ ต่อเมื่อได้เห็นด้วยตาจริงๆ จึงรู้ได้และเข้าใจจริงๆ ว่านี่คือต้นสาละ การจะทราบว่ามรรคจิตเกิดขึ้นก็ด้วยปัญญาถึงระดับมรรคจิตเกิดขึ้นในขณะนั้นครับ ผู้นั้นจึงรู้ได้ด้วยปัญญาของตนเองทีเ่กิดขึ้นถึงระดับจิตนั้นที่เป็นมรรคจิตเกิดขึ้นครับ เปรียบเหมือน คนตาบอดย่อมไม่รู้จักแสงสว่างต่อเมื่อตาดีแล้วย่อมรู้จักแสงสว่าง สิ่งที่ปรากฎบนโลกนี้ได้ครับ ฉันใด เมื่อยังมืดบอดด้วยอวิชชาความไม่รู้ และปัญญาไม่ถึงระดับมรรคจิต ก็ยังไม่สามารถทราบได้ว่า มรรคจิตเป็นอย่างไร ถึงจะพรรณาอย่างไร เหมือนพรรณา สิ่งต่างๆ ที่ปรากฎให้คนตาบอดฟัง ก็ได้แต่จินตนาการเพราะตาบอดอยู่ไมได้เห็นจริงๆ ต่อเมื่อตาหายบอดแล้ว ปัญญาถึงระดับมรรคจิตแล้วปัญญานั้นเองที่ถึงแล้วย่อมทราบว่า มรรคจิตเป็นอย่างไรครับ

และเมื่อกล่าวโดยละเอียดลงลึกแล้ว ขณะที่รู้ว่ามรรคจิตเกิดแล้ว พิจารณามรรคจิตพิจารณาผลจิต พิจารณานิพพาน พิจารณากิเลสที่ละได้แล้ว หรืออาจจะพิจารณากิเลสที่เหลืออยู่ เป็นต้นคือ ปัญญาที่เกิดต่อจากมรรคจิต ผลจิตดับไป อันเป็นการพิจารณาต่างๆ ตามที่กล่าวมาเรียกว่าปัจจเวกขณญาณ ซึ่งก็เป็นปัญญาที่รู้ความจริงของมรรคจิตที่เกิดขึ้นว่าเป็นอย่างไรด้วยครับ ซึ่งกว่าจะถึงปัญญาตรงนั้น ยากแสนยากและยาวไกล ดังนั้นจึงไม่ต้องห่วงว่าจะรู้และเป็นอย่างไรในขณะนั้น เพราะเมื่อถึงจุดนั้นปัญญาก็จะรู้เองตามความเป็นจริงในขณะที่เป็นมรรคจิตครับ เพราะฉะนั้นในขณะนี้เราก็เหมือนคนตาบอดที่ไม่เห็นโลกนี้ ตราบใดที่ยังไม่ถึงปัญญาขั้นนั้นครับ

ที่สำคัญจึงควรเริ่มจากความเห็นถูก ปัญญาเบื้องต้นที่จะถึงจุดนั้นว่า ปัญญาจะต้องรู้อะไรในขณะนี้ นั่นคือการรู้ความจริงของสภาพธรรมที่มีในขณะนี้ว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา นี่คือหนทางการดับกิเลสและจะนำไปสู่การถึงมรรคจิตครับ โดยค่อยๆ เริ่มจากการฟังพระธรรมให้เข้าใจไปทีละเล็กละน้อยและยาวนานครับ ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนาครับ

อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
nong
วันที่ 14 ก.ย. 2554

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
khampan.a
วันที่ 14 ก.ย. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

เมื่อกล่าวถึงคำอะไร ก็ต้องเข้าใจความหมายของคำนั้นก่อนแม้แต่คำว่า "มรรคจิต" จะเขียนเป็น "มัคคจิต" ก็ได้ หมายถึง จิตที่ประกอบพร้อมด้วยองค์มรรค ๘ มีสัมมาทิฏฐิ เป็นต้น) ทำกิจประหารกิเลส (คือ การดับกิเลส) ตามสมควรแก่มรรค กล่าวคือ โสดาปัตติมรรคจิต ดับความเห็นผิดทุกประเภท ดับความลังเลสงสัยในสภาพธรรมดับความตระหนี่ ดับความริษยาสกทาคามิมรรคจิต ไม่ได้ดับกิเลสอะไรเพิ่มเติม แต่เป็นการทำให้กิเลสที่เหลือจากการละของโสดาปัตติมรรค เบาบางลง อนาคามิมรรคจิต ดับความติดข้องยินดีพอในในกาม คือ รูป เสียงกลิ่น รส และสิ่งที่กระทบสัมผัสกาย พร้อมทั้งดับความโกรธได้อย่างเด็ดขาด อรหัตตมรรคจิต ดับกิเลสที่เหลืออยู่ทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นโลภะที่ติดข้องยินดีพอในในภพ มานะ (ความสำคัญตน) และอวิชชา รวมทั้งกิเลสที่อยู่ในฐานะเดียวกันทั้งหมด เช่น อหิริกะ อโนตตัปปะ เป็นต้น

การเกิดขึ้นของมรรคจิต และต่อด้วยผลจิต โดยที่ไม่มีจิตอื่นคั่น นั้น เป็นผลของการอบรมเจริญปัญญา เริ่มจากควมเข้าใจถูกเห็นถูกตั้งแต่ต้้น กล่าวได้ว่า การเป็นพระอริยบุคคล ต้องเป็นได้ด้วยปัญญาจริงๆ ที่สำคัญ จะขาดเหตุของการเจริญขึ้นของปัญญา ไม่ได้เลย นั่นก็คือ การได้คบกับสัปบุรุษ หรือ กัลยาณมิตร สูงสุด คือ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า การได้ฟังพระธรรม การใส่ใจในเหตุในผลของธรรม และ น้อมที่จะประพฤติปฏิบัติตามพระธรรม และประการที่สำคัญ คือ ไม่ใช่เป็นเรื่องที่จะเกิดขึ้นเป็นไปอย่างรวดเร็ว แต่ต้องอาศัยกาลเวลาอันยาวนานในการสะสมอบรมเจริญปัญญา ยกตัวอย่าง ท่านพระสารีบุตรเถระ ย้อนกลับไปเมื่อหนึ่งอสงไขยแสนกัปป์ (ก่อนการรู้แจ้งอริยสัจจธรรม) ท่านยังไม่สามารถดับกิเลสใดๆ ได้เลยแต่เมื่อได้สะสมเหตุทีดีมาแล้ว สะสมบารมีมาพร้อมแล้ว เมื่อได้ฟังพระธรรมจากท่านพระอัสสชิเถระ (หนึ่งในพระภิกษุปัญจวัคคีย์) ทำให้ท่านได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน ดับกิเลสได้ในระดับหนึ่ง และผ่านมาอีก ๑๕ วัน ท่านก็ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ ดับกิเลสทั้งปวงได้อย่างหมดสิ้น ทั้งหมดนั้น ล้วนเกิดจากการอบรมเจริญปัญญาสะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกมาแล้ว นั่นเอง เนื่องจากว่าแต่ละบุคคลเป็นผู้สะสมกิเลส สะสมอกุศลมามากในสังสารวัฏฏ์ จึงต้องฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม เพื่อความเข้าใจสภาพธรรมตามที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดง แล้วน้อมที่จะประพฤติปฏิบัติตาม เพื่อขัดเกลากิเลสของตนเอง

ซึ่งจะเห็นได้ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงแสดงพระธรรมตลอด ๔๕ พรรษา ตั้งแต่หลังจากที่ทรงตรัสรู้จนกระทั่งถึงใกล้จะเสด็จดับขันธปรินิพพาน ก็เพื่อให้พุทธบริษัทเข้าใจสภาพธรรมตามความเป็นจริง เพื่อจะได้รู้ในสิ่งที่ไม่เคยรู้มาก่อน เพื่อจะได้ขัดเกลากิเลสอกุศลให้ลดน้อยลงจนกระทั่งสามารถที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรม เป็นพระอริยบุคคลได้, พระอริยบุคคล ตรงกันข้ามกับปุถุชนอย่างสิ้นเชิง สำหรับชีวิตของปุถุชน มีกิเลสมากมายนานาประการที่ยังไม่ได้ลดน้อยลงไปเลย เพราะการที่จะดับกิเลสได้จริงๆ จะต้องเป็นการรู้แจ้งอริยสัจจธรรม มรรคจิต ผลจิต เกิดขึ้น บรรลุคุณธรรมเป็นพระอริยบุคคล (พระโสดาบัน ถึง พระอรหันต์) เท่านั้น จึงจะสามารถดับกิเลสได้ ดังนั้น สำหรับปุถุชนผู้ยังหนาแน่นไปด้วยกิเลส อยู่ในโลกของความมืดมิด ด้วยอำนาจของอวิชชา (ความหลง,ความไม่รู้) มานานแสนนาน จึงควรอย่างยิ่งที่จะฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญา สะสมเป็นอุปนิสัยที่ดีต่อไป เพื่อวันหนึ่งข้างหน้าจะได้รู้แจ้งอริยสัจจธรรม มรรคจิต ผลจิตเกิดขึ้น ถึงความเป็นพระอริยบุคคล ดับกิเลสได้ในที่สุด ครับ.

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
ผู้ร่วมเดินทาง
วันที่ 15 ก.ย. 2554

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
pat_jesty
วันที่ 16 ก.ย. 2554
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
vinmool
วันที่ 19 ก.ย. 2554

ขอขอบคุณเป็นอย่างสูงสำหรับคำอธิบายการเกิดขึ้นของมรรคจิตของท่านสมาชิก คือ คุณ paderm และคุณ khampan.a ผมอ่านดูแล้วยังไม่ค่อยเข้าใจดีครับ ท่านผู้ปฎิบัติท่านใดเข้าใจเรื่องนี้ดีกรุณาแสดงความเห็นเพิ่มอีกจะเป็นพระคุณอย่างสูงครับ ด้วยความเคารพอย่างสูง 19/9/54 (18.45)

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
pamali
วันที่ 22 ก.ย. 2554
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
เจียมจิต
วันที่ 23 ธ.ค. 2560

ขออนุโมทนา ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
Noritake
วันที่ 26 พ.ค. 2563

ขอบพระคุณ ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ