เรื่องการหนีมาเกิด

 
bettergirl
วันที่  28 ส.ค. 2554
หมายเลข  19594
อ่าน  21,455

อยากทราบว่าการหนีมาเกิดจะต้องชดใช้กรรมนี้ภายหลัง และจะส่งผลอย่างไรบ้างคะ

อาทิตย์ก่อนมีคนที่นั่งวิปัสสนามาทักว่า จริงๆ แล้วยังไม่ถึงเวลาที่ดิชั้นจะมาเกิด แต่มีผู้

ชักนำมาให้เกิดก่อนและคนที่ชักนำนี้ก็ยังสถิตย์อยู่ที่ตัวดิชั้น คอยคุ้มครองทำให้เค้ายัง

ไปไหนไม่ได้ และกลายเป็นว่าแบบนี้จะทำให้ชัวิตดิชั้นไม่ราบรื่นด้วย ตอนนี้เลยค่อน

ข้างเป็นกังวล อยากจะแก้ไข รบกวนช่วยแนะนำด้วยนะคะ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 28 ส.ค. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย ในความเป็นจริง มีแต่สภาพธรรมที่เป็นจิต เจตสิก รูป จึงไม่มีเรา ไม่มีสัตว์ บุคคล จึง

ไม่มีเราที่หนีมาเกิดเลยครับ ที่สำคัญ การเกิด เป็นผลของกรรม ที่เรียกว่าปฏิสนธิจิต

ดังนั้นการเกิดจึงต้องเป็นไปตามกรรมที่ทำมา และเมื่อเป็นกรรมในอดีตที่ทำไว้ ใคร

บังคับให้กรรมจะใหผลตามความต้องการได้ที่จะให้ผลก่อน (หนีมาเกิด) เป็นไปไม่ได้

เลยครับ เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมว่าธรรมทั้งหลาย เป็นอนัตตา บังคับ

บัญชาไมได้ เมื่อมีเหตุปัจจัยก็ทำให้มีการเกิด การเกิดเป็นผลของกรรม การตายก็เป็น

ผลของกรรม เป็นจิตประเภทเดียวกับการเกิด คือ เป็นวิบากจิต เป็นผลของกรรม เมื่อ

หนีมาเกิดได้อย่างนั้นจริง ก็หนีกันสิ้นชีวิต แย่งกันไปสิ้นชีวิต รีบไปสิ้นชีวิตด้วยหรือไม่

ครับ เพราะเป็นจิตประเภทเดียวกันที่เป็นผลของกรรมครับ ดังนั้นพยากรณ์ว่าหนีมาเกิด

แต่ไม่มีการพยากรณ์เลยครับว่า รีบหนีไปตายกัน รีบตายกันก่อน เพราะเข้าใจว่าการ

ตายไม่ดี แต่ในความเป็นจริง การตายก็เหมือนกับการเกิดนั่นเอง เป็นจิตที่เป็นชาติ

วิบากเช่นเดียวกันครับ

ดังนั้นจึงไม่มีใครชักนำมาให้เกิด แต่กรรมต่างหากที่ชักนำมาให้เกิดครับ สัตว์โลกทั้ง

หลายจึงเป็นไปตามกรรมที่บุคคลนั้นเองทำไว้ ไม่มีใครทำให้ นำมาให้เราเกิดได้เลย

ครับ สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของๆ ตนครับ และก็ไม่มีใคร สัตว์ บุคคลใดจะมาสถิตอยู่

ที่ตัวเราได้ เพราะมีแต่สภาพธรรม ที่เป็นจิต เจตสิก รูปตามที่พระองค์แสดงไว้ เมื่อมีแต่

ธรรม เราก็ไม่มี แล้วคนอื่นจะมี มาอยู่ที่ตัวได้อย่างไรครับ

ดังนั้นอยากจะแก้ไข คือ แก้ไขที่ความเข้าใจใหม่ ให้ถูกต้อง คิดให้ถูกต้องว่า ไม่มีใคร

ชักนำเรามาเกิดได้ ไม่มีเราที่หนีกรรมมา เพราะสัตว์ทั้งหลาย มาด้วยกรรมของตนเองที่

ทำไว้ และไม่มีผู้ใดสถิตอยู่ที่ตัวเรา เพราะเราก็ไม่มี คนอื่นจะมีได้อย่างไร เพราะมีแต่

ธรรมครับ อันนี้ผมแสดงตามพระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง ถ้าเราเข้าใจถูกอย่างนี้

ปัญญาเกิดขึ้น ความไม่สบายใจก็ลดลงเพราะเข้าใจถูกตามความเป็นจริงนั่นเองครับ

ดังนั้นกังวลเพราะไม่รู้ กังวลเพราะเข้าใจผิด และที่สำคัญขอแนะนำอีกเรื่องครับว่า การ

ปฏิบัติ เจริญวิปัสสนา ไม่ใช่การนั่งสมาธิและการเดินจงกรม อย่างที่เข้าใจกันในปัจจุบัน

ครับ และไม่มีใครจะรู้ว่าใครทำกรรมใดไว้ นอกจากองคฺ์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

เท่านั้นครับ จึงไม่ต้องเชื่อในสิ่งทีไดยิน แต่ศึกษาพระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง ก็

จะทำให้เห็นถูกและปฏิบัติถูกด้วยครับ ขออนุโมทนา

อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
wannee.s
วันที่ 28 ส.ค. 2554

ศาสนาพุทธเน้นเรื่องของปัญญา เน้นเรื่องของกรรมและผลของกรรม มีกรรมเป็น

กำเนิด มีกรรมเป็นทายาท ฯลฯ ทำดีหรือทำชั่ว ก็เป็นผู้รับผลแห่งกรรมนั้น จะให้

พ่อ แม่ พี่น้อง ญาติ หรือใครก็ตามมารับกรรมแทนไม่ได้ และไม่ว่าจะมีเงินทอง

มากมาย ก็หนีกรรมไม่พ้น เงินซื้อได้ทุกอย่าง ยกเว้น ปัญญา และกรรมค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
khampan.a
วันที่ 28 ส.ค. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น การได้เกิดมาเป็นมนุษย์เป็นสิ่งที่ยากมาก เพราะต้องเป็นผลของกุศลกรรมเท่านั้นจึงจะทำให้ได้มาเกิดเป็นมนุษย์ ขอให้ทราบว่า ไม่มีใครหนีมาเกิดได้ เพราะเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย เหมือนอย่างในชาิตินี้ ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ เพราะเป็นผลของกุศลกรรม แสดงว่า ต้องมีความดีที่ได้กระทำไว้อย่างแน่นอน จึงทำให้ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ เมื่อเกิดมาแล้ว ชีวิตก็เป็นสิ่งที่ไม่แน่นอนจริงๆ ความตายเท่านั้น ที่เป็นสิ่งแน่นอน หมายความว่า สุดท้ายแล้วก็จะต้องตายทุกคน ไม่มีใครรอดพ้นจากความตายไปได้เลย ก่อนที่จะมาเกิดในภพนี้ ก็ไม่ทราบว่ามาจากไหน คือ ไม่ทราบว่าก่อนที่จะมาเกิดเป็นมนุษย์นี้ชาติก่อนเกิดเป็นอะไรมา, ต่อจากนั้น จะไปไหน ก็ยังไม่ทราบ คือ เมื่อละจากโลกนี้ไปแล้ว จะไปเกิดในที่ใด ภพภูมิใด ไม่สามารถจะทราบได้ เพราะขึ้นอยู่กับกรรมที่ได้กระทำแล้วเป็นสำคัญ, ที่แน่ๆ ย่อมทราบว่า จะต้องตายอย่างแน่นอน แต่ก็ไม่ทราบ ว่า จะตายตอนไหน กล่าวคือ จะตายตอนเช้า ตอนสาย ตอนบ่าย ตอนค่ำ ตอนกลางคืน ก็ไม่สามารถจะทราบได้ นี้คือความจริง, ในแต่ละวัน ชีวิตของคนเราซึ่งเป็นผู้หนาแน่นไปด้วยกิเลส (ปุถุชน) ย่อมเป็นไปกับอกุศล เป็นส่วนใหญ่ ทั้งโลภะ โทสะ ความวิตกกังวล ความวุ่นวายใจ เป็นต้น กุศล ก็เกิดเพียงนิดหน่อยเท่านั้น จะเห็นได้ว่าในแต่ละวัน กุศลจิตเกิดน้อยมาก เทียบส่วนกับอกุศลจิตไม่ได้เลย ยิ่งถ้ามีความประมาทในการใช้ชีวิตแล้ว ก็ยิ่งจะเกื้อหนุนให้อกุศลเกิดเพิ่มมากขึ้นไปอีก แต่ละคนเหลือเวลากันอีกไม่มากแล้วที่จะมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ เพราะชีวิตสั้นมากจริงๆ ควรที่จะได้พิจารณาอยู่เสมอเพื่อเป็นเครื่องเตือนตนเองว่า “เกิดมาแล้ว จะทำอะไรกับชีวิตที่สั้นๆ นี้” เพื่อเป็นผู้ไม่ประมาทในชีวิต ควรอย่างยิ่งที่จะให้เวลากับการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญา ซึ่งเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดสำหรับชีวิต ให้มากๆ และเป็นผู้ไม่ประมาทในการเจริญกุศลประการต่างๆ ด้วย ขอให้ตั้งต้นใหม่ด้วยความเข้าใจที่ถูกต้อง ตั้งแต่ในขณะนี้ ครับ. ...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
nopwong
วันที่ 9 พ.ย. 2557

ขออนุโมทนา

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ