เปลี่ยน...ได้หรือไม่.?

 
พุทธรักษา
วันที่  17 ส.ค. 2554
หมายเลข  18966
อ่าน  1,270

ขอเรียนถามท่านวิทยากรดังนี้ค่ะ

๑. เปลี่ยนบุคคลอื่น ได้ไหม ได้หรือไม่ได้เพราะ "เหตุ" ใด

๒. เปลี่ยนตัวเอง ได้ไหม ได้หรือไม่ได้ เพราะ "เหตุ" ใด

ขอบพระคุณค่ะ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 17 ส.ค. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

ก่อนอื่นต้องเข้าใจความจริงว่า ในความเป็นจริงมีแต่สภาพธรรมที่เป็นจิต เจตสิก รูป เพราะมี จิต เจตสิก รูป ประชุมรวมกันและเกิดขึ้น จึงบัญญัติว่ามีสัตว์ บุคคล มีสิ่งต่างๆ ครับ เพราะฉะนั้นตัวเราเองก็คือ จิต เจตสิก รูปและบุคคลอื่นก็คือสภาพธรรมที่เป็น จิตเจตสิก รูปอีกเช่นกันครับ มีแต่สภาพธรรมที่ไม่ใช่เรา ไม่ใช่คนอื่นครับ.

คำถามที่มีว่า

เปลี่ยนบุคคลอื่น ได้ไหม ได้หรือไม่ได้เพราะ "เหตุ" ใด

เปลี่ยนตัวเอง ได้ไหม ได้หรือไม่ได้ เพราะ "เหตุ" ใด

ดังนั้น เมื่อบุคคลอื่นและตัวเราไม่มี มีแต่สภาพธรรม ที่เป็นจิต เจตสิก รูป จิตเป็นสภาพธรรมที่สะสม ซึ่งเมื่อกล่าวโดยสมมติ แต่ละคนก็มีการสะสม........สะสมอะไร.? สะสมอกุศล สะสมสภาพธรรมที่ไม่ดี เป็นส่วนมาก จึงเรียกว่า ปุถุชน ผู้หนาด้วยกิเลส ดังนั้น การเปลี่ยน...เปลี่ยนที่ไหน ก็คือ เปลี่ยนการสะสม ที่เคยสะสมสิ่งที่ไม่ดีคือ กิเลสมามาก ก็เปลี่ยนเป็นการสะสมสิ่งที่ดี สภาพธรรมที่ดีหรือเจตสิกที่ดี ให้เกิดขึ้นบ่อยๆ ได้ครับ.

ดังนั้น อะไรเปลี่ยน ไม่ใช่ผู้อื่นเปลี่ยน แต่เป็น จิต ที่เปลี่ยนการสะสมกิเลสมานั่นเองครับ ด้วยการสะสมสิ่งที่ดีได้ครับ ดังนั้น เปลี่ยนคนอื่นหรือตัวเอง คือ เปลี่ยนการสะสมที่สะสมมาของจิต แต่เปลี่ยนอย่างไร.?....เปลี่ยนด้วยการศึกษาธรรม เปลี่ยนด้วยการสะสมสิ่งที่ดีใหม่ ด้วยการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม เมื่อมีการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม สิ่งที่ดีก็เกิดขึ้น มี ปัญญา เป็นต้น ก็เท่ากับว่าสะสมสิ่งที่ดีใหม่

เมื่อปัญญาเจริญขึ้น สภาพธรรมที่ดีประการอื่นๆ ก็เจริญขึ้น มี ศรัทธา เป็นต้น เป็นการสะสมสิ่งที่ดีใหม่ แล้วก็ค่อยๆ เปลี่ยนบุคคลอื่น รวมทั้งตัวเอง หรือ เปลี่ยนการสะสมของจิตสะสมสิ่งที่ดีขึ้นครับ ดังนั้นจะเปลี่ยนคนอื่นหรือตัวเองได้ ก็ต้องให้บุคคลนั้น ได้ฟังสิ่งที่ถูกต้อง การได้ฟังพระธรรม ก็จะค่อยๆ เปลี่ยนบุคคลนั้นได้ทีละน้อย ซึ่งตัวอย่างที่เปลี่ยนได้ก็มีให้เห็นมากมาย คือ พระอริยสาวก ที่เปลี่ยนจากความเป็นปุถุชน เป็นพระอริยเจ้า คือ เปลี่ยนจากผู้ที่หนาด้วยกิเลส เป็นไม่มีกิเลส เปลี่ยนจากคนไม่ดี ให้ค่อยๆ เป็นคนดีขึ้นได้ครับ.

ในทางตรงกันข้าม ก็เปลี่ยนจากไม่ดี ให้ไม่ดีมากขึ้น หากเสพคุ้นกับสิ่งที่ไม่ดี ทำให้มี

ความเห็นผิดมากขึ้น เพราะฟังพระธรรมที่ผิด เป็นต้น ครับ. แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า เปลี่ยนได้ทุกคนนะครับ เพราะบางคน สะสมสิ่งที่ไม่ดี ที่มีกำลังมาก เช่น มีความเห็นผิดที่ดิ่ง แม้พระพุทธเจ้า ก็ไม่สามารถช่วยเขาได้ เพราะความเห็นผิดมีกำลังมาก จึงไม่สนใจที่จะฟังและไม่มีวิบากที่จะได้ฟังพระธรรม จึงเปลี่ยนไม่ได้ แล้วแต่เหตุปัจจัยประการอื่นๆ ด้วยครับ อาจจะเปลี่ยนได้ ถ้าสะสมสิ่งที่ดีมาบ้างสะสมบุญ สะสมความเข้าใจมาบ้าง แต่บางบุคคลเปลี่ยนไม่ได้เลย ตามที่กล่าวมาครับ.

ดังนั้น ทั้งหมด จึงเป็นเรื่องของสภาพธรรมที่เป็น จิต เจตสิก รูปครับ โดยนัยเดียวกันแม้การเปลี่ยนตัวเอง เปลี่ยนได้ ก็ด้วยการสะสมสิ่งที่ดี ใหม่ คือค่อยๆ เปลี่ยนการสะสมที่ไม่ดี ด้วยการค่อยๆ สะสมสิ่งที่ดีมากขึ้นๆ จนไม่มีการสะสมกิเลสที่ไม่ดีอีกเลยซึ่งก็สะสมได้ ด้วยการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมที่ถูกต้อง ครับ

ขออนุโมทนา

อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
khampan.a
วันที่ 17 ส.ค. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ธรรมดาปุถุชนผู้หนาแน่นไปด้วยกิเลส เป็นผู้ไม่ได้อบรมปัญญา ย่อมสะสมอกุศลเป็นส่วนมาก แต่เมื่อมีโอกาสได้ฟังพระธรรม ได้ศึกษาพระธรรมในแนวทางที่ถูกต้อง มีความเข้าใจไปตามลำดับ ขณะที่ปัญญาความเข้าใจถูกเห็นถูก เกิด ขณะนั้นกุศลจิตเกิด ก็สะสมความเห็นถูก สะสมกุศลธรรม สะสมอุปนิสัยฝ่ายดีมากขึ้น นั่นก็หมายความว่าค่อยๆ เปลี่ยนไปในทางที่ดีมากยิ่งขึ้นด้วยความเข้าใจพระธรรม ซึ่งจะเห็นได้ว่า พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงนั้น เป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูลสำหรับผู้ที่ได้ฟัง สามารถเปลี่ยนจากบุคคลที่เป็นปุถุชนผู้หนาแน่นไปด้วยกิเลส ไปสู่ความเป็นพระอริยบุคคล ตามลำดับขั้น จนสามารถดับกิเลสทั้งปวงได้อย่างเด็ดขาด ความเข้าใจถูกอันเกิดจากการฟังพระธรรม ที่สัตบุรุษผู้มีปัญญาเป็นผู้แสดงย่อมสามารถเปลี่ยนจากความเข้าใจผิด และความไม่รู้ที่สะสมมาอย่างเนิ่นนานในสังสารวัฏฏ์ให้เป็นความเข้าใจที่ถูกต้องได้ โดยเป็นการสะสมของผู้นั้นจริงๆ

มรดกที่ล้ำค่า ที่พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงมอบให้กับพุทธบริษัท คือ พระธรรม ซึ่งพระองค์ทรงแสดงตลอด ๔๕ พรรษา ใครจะเข้าใจมากน้อยแค่ไหน หรือ น้อมประพฤติตามได้มากน้อยแค่ไหน ขึ้นอยู่กับการสะสมของผู้นั้น จริงๆ เพราะบุคคลผู้ที่ได้รับประโยชน์จากพระธรรม ก็มี และ ผู้ที่ไม่ได้ประโยชน์ ก็มี เพราะไม่เห็นคุณค่า ไม่เห็นประโยชน์ แต่ละคน ก็เป็นแต่หนึ่ง ไม่ปะปนกัน ไม่เหมือนกันเลย

ทั้งหมดทั้งปวงนั้น ไม่พ้นไปจากธรรมที่มีจริง ไม่พ้นไปจากความเป็นไปของสภาพธรรม คือ จิต เจตสิก และรูป เลย ซึ่งหาความเป็นสัตว์ เป็นบุคคล ไม่ได้ จะทำอย่างไรได้กับกิเลส ที่ได้สั่งสมมาอย่างมากมายและเนิ่นนานในสังสารวัฏฏ์ นอกจากศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรม อบรมเจริญปัญญา เพื่อขัดเกลากิเลส เบาบางลง จนกระทั่งสามารถที่จะดับได้อย่างเด็ดขาดในที่สุด จึงไม่มีที่พึ่งอย่างอื่นนอกจากปัญญาความเข้าใจถูก เห็นถูกเท่านั้น เมื่อเข้าใจธรรมเพิ่มขึ้น กุศลธรรมย่อมเจริญขึ้นไปตามลำดับ จิตใจน้อมไปในทางที่ดีเพิ่มขึ้น เป็นการสะสมเหตุใหม่ที่ดีแทนที่จะเป็นอกุศล เพราะความเข้าใจพระธรรมเท่านั้น ที่จะเปลี่ยนจากกุศลซึ่งเคยมีมาก ให้ลดน้อยลง แล้วก็เพิ่มพูนทางฝ่ายกุศลยิ่งขึ้น ครับ.

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
pat_jesty
วันที่ 17 ส.ค. 2554
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
nong
วันที่ 18 ส.ค. 2554

ดีมากๆ ค่ะ ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
bsomsuda
วันที่ 20 ส.ค. 2554

"จะทำอย่างไรได้กับกิเลสที่ได้สั่งสมมาอย่างมากมายและเนิ่นนานในสังสารวัฏฏ์ ....ไม่มีที่พึ่งอย่างอื่น นอกจาก ปัญญาความเข้าใจถูก เห็นถูกเท่านั้น"

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
chatchai.k
วันที่ 18 ก.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ