เห็นและเข้าใจในสภาพธรรม มิใช่เราที่เห็นคืออะไร ?

 
คนไทยพบธรรม
วันที่  14 ส.ค. 2554
หมายเลข  18936
อ่าน  1,296

กระผมเพิ่งเคยมีโอกาสฟังพระธรรมจาก ท่าน อ.สุจิน เมื่อไม่นานนี้ ก็ได้ฟังมาถึงตอนที่

45ในปกิณฯ เข้าใจไปแบบนี้ว่า สมมุติว่าเราเห็นรถคันหนึ่ง เราก็ตอบว่ารถ ในคำตอบคือ

สัญญาวามจำเก่าของเรา ถ้าเป็นธรรมะโดยไม่มีเรา เราจะต้องคิดถึงสภาพธรรม คือ

ภาพที่ปรากฎทางตา สีสรร โดยไม่ใช่รถ เป็นสภาพธรรม เมื่อสมมุติเอามือไปแตะ ก็จะ

พบว่าแข็งก็คือสภาพของ รูปธาตุ คือ ปฐวีธาตุ เมื่อภาพที่ปรากฎทางตามีไฟ คือ รูป

ธาตุของเตโชธาตุเมื่อภาพที่ปรากฎทางตา มีไอออกมาทางหนึ่ง ก็คือสภาพวาโยธาตุ

ซึ่งพิจารณาไปแบบนี้โดยละเอียดมิทราบว่าจะใช่แบบนี้หรือเปล่าครับ ขอขอบพระคุณ

ในคำชี้แนะด้วยครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 14 ส.ค. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย


ขออนุโมทนาที่ฟังพระธรรม และท่านผู้ถามมีความเข้าใจถูกเบื้องต้นครับ ว่าเป็นธรรม ดังนั้น ในขณะที่ เห็นเป็นรถ เป็นสิ่งหนึ่ง สิ่งใด ขณะที่เห็น ต้องเห็นเพียง สี คือ สิ่งที่

ปรากฎทางตา อันนี้ ผู้ถามเข้าใจถูกแล้วครับ แต่ ขณะที่ รู้ว่าเป็นรถ เป็นสิ่งหนึ่ง สิ่งใดไม่ใช่ขณะที่เห็น เพราะขณะที่เห็น เห็นเพียงสี ขณะนั้นยังไม่รู้ว่า เป็นสิ่งหนึ่ง สิ่งใดเลย แต่ขณะที่รู้ ว่าเป็นรถ ในขณะนั้น เป็น "จิตที่คิดนึก" ถึงรูปร่าง คิดถึงรูปร่างที่เป็นสี จึงปรากฎว่า เป็นรถ เป็นสิ่งหนึ่ง สิ่งใดครับ เพราะอาศัย "จิตที่คิดนึก" ที่เกิดสืบต่ครับ ซึ่งตามความเป็นจริง ไม่มีรถ มีแต่สภาพธรรม ที่ประชุมรวมกัน (เป็นรูปธรรม) จึงมีบัญญัติว่าเป็นรถครับ และขณะที่กระทบสัมผัส สิ่งที่สมมติว่าเป็นรถ สิ่งที่ปรากฎในขณะนั้น คือสภาพธรรมที่เป็นแข็ง เท่านั้น แข็ง ไม่ใช่รถครับ แข็งเป็นรูปธรรม ส่วนธาตุไฟ คือ เย็น-ร้อน ครับ เย็น-ร้อน กระทบสัมผัสได้ทางกาย และ ไม่ใช่สิ่งที่ปรากฎทางตา "สี" และ "ธาตุไฟ" เป็นคนละอย่างกัน ขณะที่เห็นเป็นไฟ หมายความว่า ขณะที่เห็นนั้น ไม่ได้เห็นธาตุไฟ แต่ "เห็น" สิ่งที่ปรากฎทางตา (สี) ส่วน ขณะที่กระทบสัมผัส และ รู้สึกร้อน (หรือเย็น) ขณะนั้นกระทบสัมผัสกับธาตุไฟ (เตโชธาตุ) เป็นลักษณะร้อน (หรือเย็น) เป็นรูปธรรม ที่ปรากฎครับ และการรู้ลักษณะของ วาโยธาตุ (ธาตุลม) ก็ต้องกระทบสัมผัสทางกาย ธาตุลม (รูปธรรม) มีลักษณะ ตึง ไหว ไม่ใช่เห็นทางตา (สี) ที่เห็นเป็นไอน้ำ ครับ

การอบรมปัญญา ที่เป็นการเจริญสติปัฏฐาน ก็คือเข้าใจว่า สิ่งที่เกิดขึ้น เป็นธรรม ในขณะที่รู้ว่า เป็นสิ่งหนึ่ง สิ่งใด ขณะนั้นเป็น "เรื่องราว" ซึ่งไม่ใช่สภาพธรรมที่มีจริงที่เป็น จิต เจตสิก รูป ครับ

ที่สำคัญ คือ อาศัยการฟังพระธรรมไปเรื่อยๆ ก็จะคิดถูก-เข้าใจถูกมากขึ้นเรื่อยๆ โดยไม่ต้องห่วงกังวล ว่าจะต้องคิดให้ถูก ฟังบ่อยๆ และการสนทนาธรรมบ่อยๆ จะทำให้เกิดความคิดถูก ความเห็นถูกในเรื่องสภาพธรรม ที่ไม่มีเรา ครับ

เพียงแต่ต้องเข้าใจว่า การคิดถึงเรื่องของสภาพธรรม ยังไม่ใช่การเจริญสติปัฏฐานที่รู้ลักษณะของสภาพธรรมจริงๆ แต่ก็เป็น เหตุปัจจัยให้สติปัฏฐานเกิดได้ เมื่อ มีการคิดถูก เข้าใจถูก ครับ ขออนุโมทนา คุณไทยพบธรรม ที่เริ่มเข้าใจถูกและฟังพระธรรมครับ ฟังพระธรรมต่อไปนะครับ ขออนุโมทนา

อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
หลานตาจอน
วันที่ 14 ส.ค. 2554
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
Sam
วันที่ 14 ส.ค. 2554

ขณะที่เห็น จิตเห็นสิ่งที่ปรากฎทางตาครับ ไม่ใช่เราเห็น และไม่ใช่เห็นรถ

ขณะที่ "เราเห็นรถ"นั้น เป็นขณะที่จิตคิดถึงเรื่องราวของเราและของรถ โดยไม่มีเรา

และไม่มีรถเพราะเป็นเพียงเรื่องราว (บัญญัติ) ที่จิตคิด โดยอาศัยความทรงจำ และ

ที่คิดนั้นคือจิต ไม่ใช่เราคิดครับ

ขอให้เจริญปัญญาด้วยการฟังธรรมต่อไปครับ ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
khampan.a
วันที่ 14 ส.ค. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงธรรม โดยละเอียด เพื่อให้ผู้ฟังผู้ศึกษาได้เข้าใจธรรมตามความเป็นจริง ซึ่งเมื่อประมวลแล้ว ไม่พ้นไปจากนามธรรม กับ รูปธรรม ซึ่งเป็นธรรมที่ต่างกัน นามธรรม เป็นสภาพรู้ ธาตุรู้ [ได้แก่จิต และ เจตสิก เพราะมีนามธรรมอีกประเภทหนึ่งที่ไม่รู้อารมณ์ คือ พระนิพพาน] ส่วนรูปธรรม เป็นสภาพธรรมที่มีจริง แต่ไม่รู้อะไร ตัวอย่างรูปธรรม เช่น สี เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ตา หู จมูก เป็นต้น ในส่วนของรูปธรรม นั้น ควรที่จะได้พิจารณาว่า รูปธรรม มีทั้งหมด ๒๘ รูป รูปที่สามารถรู้ได้ในชีวิตประจำวัน มี ๗ รูป คือ สี เสียง กลิ่น รส และ โผฏฐัพพะ (ธาตุดิน ธาตุไฟ ธาตุลม) รูปประการอื่นๆ ถึงแม้จะมีจริง เกิดขึ้นเป็นไป และเกิดกับทุกๆ คนด้วย แต่ก็เป็นเรื่องที่รู้ได้ยากในชีวิตประจำวัน สิ่งที่ปรากฏทางตา เป็นธรรมที่มีจริง เป็นรูปธรรมประเภทหนึ่งหนึ่ง คือ สี เป็นธรรมที่สามารถเห็นได้ทางตา เท่านั้น ไม่ปรากฏทางหู ทางจมูก เป็นต้น สี เป็นอารณ์ของจิตเห็น จิตเห็นเป็นนามธรรมที่เกิดขึ้นทำกิจเห็น และการที่จิตเห็นจะเกิดขึ้นได้นั้น ต้องอาศัยปัจจัยหลายอย่าง ไม่ใชว่าจะเกิดขึ้นลอยๆ โดยปราศจากปัจจัย กล่าวคือ จะต้องมีตา ซึ่งเป็นที่เกิดของจิตเห็น มีจิตเห็นเกิดขึ้น พร้อมทั้งมีเจตสิกที่เกิดร่วมกับจิตเห็น นอกจากนั้นก็จะต้องมีสี และแน่นอนว่า จิตเห็นเป็นผลของกรรมซึ่งจะต้องมีกรรมเป็นปัจจัย ด้วย เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะเห็นอะไร สิ่งที่ถูกเห็นก็เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏทางตาเท่านั้น แต่เมื่อเห็นแล้วก็มีการคิดนึกต่อ เป็นรูปร่างสัณฐานต่างๆ แท้ที่จริงแล้ว ขณะที่เห็น เห็นเพียงสีซึ่งเป็นสิ่งที่ปรากฏทางตา เท่านั้นจริงๆ ครับ. ...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
pat_jesty
วันที่ 14 ส.ค. 2554
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
คนไทยพบธรรม
วันที่ 15 ส.ค. 2554

ขออนุโมทนาด้วยครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
คนไทยพบธรรม
วันที่ 15 ส.ค. 2554

ธรรมะมีส่วนขัดเกลาจิตใจจริงๆ เลยนะครับ เกิดขึ้นกับตัวเองเลยครับ ตอนนี้อายุ ๔๐

กว่าไม่เคยศึกษาธรรมะจากการฟังเลยครับ วันก่อนของหาย ถ้าเป็นเมื่อก่อนจะแอนตี้

มากเลยครับ แต่ในวันนั้นรู้สึกเฉยๆ นะครับ ไม่ได้มีอาการโกรธ และ ก็ยังยิ้มแย้มหัวเราะ

ได้อีกด้วย ทั้งที่ของก็เป็นของที่จำเป็นและชอบด้วย ก็คิดไปตามที่อ.แนะนำครับ ทุก

สรรพสิ่งมีเกิดและดับไป ฯ ก็นับว่าได้ผลนะครับในการฟังธรรมะ ต้องขอขอบพระคุณ

อ. สุจิน และทีมงานทุกท่านนะครับ ที่ให้ข้อคิดจนผมสามารถพัฒนาทางจิตใจข้าม

เรื่องนี้ไปได้ ถึงเพียงนี้ ที่นำมาบอกกล่าวก็เพื่อเป็นประสบการณ์ นะครับ ไมไ่ด้จะต้อง

การอวดอะไรนะครับ ขอขอบพระคุณนะครับที่แนะนำมาโดยตลอด ขออนูโมทนาบุญ

ด้วยนะครับ ในส่วนที่ให้ปัญญาเพื่อการพัฒนาในโอกาสต่อไป ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
wannee.s
วันที่ 16 ส.ค. 2554

ชื่อ เรื่องราว ปิดบังสภาพธรรมะทั้งหมด เวลาที่สติเกิด ระลึกรู้ตรงลักษณะ

ของจริงทีกำลังปรากฏ นิดเดียว สั้นมาก เกิดแล้ว ดับแล้ว ไม่ใช่วัตถุสิ่งของ

ไม่ใช่ของใคร ฯลฯ ปรากฏกับปัญญา ทีละอย่าง ทีละทวาร ไ่ม่ปะปนกัน ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
คนไทยพบธรรม
วันที่ 16 ส.ค. 2554

อนุโมทนาบุญด้วยครับที่แนะนำครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ