ความเห็นผิด 3 ประการ
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้าที่ 278
อธิบายปุพเพกตเหตุวาทะ
บทว่า ปุพฺเพกตเหตุ แปลว่า เพราะกรรมที่คนทำไว้ในชาติก่อน เป็นเหตุ อธิบายว่า บุรุษบุคคลเสวย (สุขเวทนา ทุกขเวทนา หรือทุกขม- สุขเวทนา) เพราะกรรมที่คนทำไว้ในชาติก่อนเป็นปัจจัยเท่านั้น. ด้วยบทว่า ปุพฺเพกตเหตุ นี้ มิจฉาทิฏฐิกบุคคลทั้งหลายปฏิเสธ กรรมเวทนา (เวทนา เกิดแต่กรรม) และกิริยเวทนา (เวทนาเกิดแต่กิริยา) ยอมรับแต่เฉพาะวิปาก เวทนา (เวทนาที่เกิดจากวิบาก) อย่างเดียวเท่านั้น.
ว่าด้วยโรค ๘ อย่างเป็นต้น
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสโรคไว้๘อย่างเหล่านี้คืออาพาธมีน้ำดี (กำเริบ) เป็นสมุฏฐาน ๑ อาพาธมีเสมหะเป็นสมุฏฐาน ๑ อาพาธมีลมเป็นสมุฏฐาน ๑ อาพาธที่เกิดจากโรคดี โรคเสมหะ โรคลม มาประชุมกัน ๑ อาพาธที่เกิดจาก เปลี่ยนฤดู ๑ อาพาธที่เกิดจากการบริหาร (ร่างกาย) ไม่ถูกต้อง ๑ อาพาธ ที่เกิดจากการพยายาม (ทำให้เกิดขึ้น) ๑ อาพาธที่เกิดจากวิบากกรรม ๑. ใน โรคทั้ง ๘ อย่างนั้น. มิจฉาทิฏฐิกบุคคลปฏิเสธโรค ๗ อย่างข้างต้นแล้วยอมรับ แต่เฉพาะโรคชนิดที่ ๘ เท่านั้น.
ในบรรดากองแห่งกรรม ๓ ชนิด ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ คือ ทิฏฐธรรมเวรทนียกรรม (กรรมให้ผลในภพปัจจุบัน) ๑ อุปปัชชเวทนีย- กรรม (กรรมให้ผลในภพถัดไป) ๑ อปรปริยายเวทนียกรรม (กรรมให้ ผลในภพต่อๆ ไป) ๑ มิจฉาทิฏฐิกบุคคลปฏิเสธกรรม ๒ ชนิด (ข้างต้น) ยอมรับแต่เฉพาะอปรปริยายกรรม อย่างเดียวเท่านั้น. แม้ในกองวิบาก ๓ ชนิด ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ คือ ทิฏฐธรรม เวทนียวิบาก (วิบากของกรรม ที่ให้ผลในปัจจุบัน) ๑ อุปปัชชเวทนียวิบาก (วิบากของกรรมที่ให้ผลในภพ ถัดไป) ๑ อปรปริยายเวทนียวิบาก (วิบากของกรรมที่ให้ผลในภพต่อๆ ไป) ๑. มิจฉาทิฏฐิกบุคคลปฏิเสธวิบาก ๒ อย่าง (ข้างต้น) ยอมรับแต่เฉพาะอปร- ปริยายวิบากอย่างเดียวเท่านั้น.
แม้ในกองเจตนา ๔ ชนิด ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ คือ กุศลเจตนา ๑ อกุศลเจตนา ๑ วิปากเจตนา ๑ กิริยเจตนา ๑ มิจฉาทิฏฐิก บุคคลปฏิเสธเจตนา ๓ ชนิด ยอมรับแต่เฉพาะวิปากเจตนาอย่างเดียวเท่านั้น.
อธิบายอิสสรนิมมานเหตุ
บทว่า อิสฺสรนิมฺมานเหตุ แปลว่า เพราะการนิรมิตของพระอิศวร เป็นเหตุ. อธิบายว่า บุรุษบุคคลเสวยสุขเวทนา ทุกขเวทนา หรือทุกขม- สุขเวทนา ก็เพราะถูกพระอิศวรนิรมิต (บันดาล) . ด้วยว่า มิจฉาทิฏฐิกบุคคล เหล่านั้นมีความเข้าใจดังนี้ว่า เวทนาทั้ง ๓ นี้ บุรุษบุคคลไม่สามารถเสวยได้ เพราะมีกรรมที่ตนทำไว้ในปัจจุบัน เป็นมูลบ้าง เพราะสั่งบังคับ (ของคนอื่น) เป็นมูลบ้าง เพราะกรรมที่ตนทำไว้ในชาติก่อนบ้าง เพราะไม่มีเหตุไม่มีปัจจัย (คือ โดยบังเอิญ) บ้าง แต่บุรุษบุคคลเสวยเวทนาเหล่านี้ได้ เพราะการนิรมิต ของพระอิศวรเป็นเหตุอย่างเดียว.
ก็มิจฉาทิฏฐิกบุคคลเหล่านี้มีวาทะอย่างนี้ จึงไม่ยอมรับโรคแม้ชนิด หนึ่งในบรรดาโรค อย่างที่กล่าวไว้แล้วในตอนต้น ปฏิเสธทั้งหมด และไม่ ยอมรับกรรมชนิดหนึ่งในบรรดากองกรรม ๓ ชนิด วิบากชนิดหนึ่งในบรรดา กองวิบาก ๓ ชนิด และเจตนาชนิดหนึ่งในบรรดากองเจตนา ๔ ชนิด ที่กล่าว ไว้แล้วในตอนต้น ปฏิเสธทั้งหมด.
อธิบายอเหตุปัจจยา
บทว่า อเหตุอปจฺจยา ได้แก่ เว้นจากเหตุและปัจจัย. อธิบายว่า บุรุษบุคคลเสวยสุขเวทนา ทุกขเวทนา หรืออทุกขมสุขเวทนา โดย ไม่มีเหตุเลย. ด้วยว่า มิจฉาทิฏฐิกบุคคลเหล่านั้นมีความเข้าใจดังนี้ว่า เวทนา ทั้ง ๓ นี้ ใครๆ ไม่สามารถจะเสวยได้ เพราะกรรมที่ตนทำไว้ในปัจจุบันเป็น มูลบ้าง เพราะการสั่งบังคับ (ของคนอื่น) เป็นมูลบ้าง เพราะกรรมที่ทำไว้ ในชาติก่อนบ้าง เพราะการนิรมิตของพระอิศวรเป็นเหตุบ้าง บุรุษบุคคลเสวย เวทนาเหล่านี้ โดยไม่มีเหตุไม่มีปัจจัยเลย. ก็มิจฉาทิฏฐิกบุคคลเหล่านั้นมีวาทะ อย่างนี้ จึงไม่ยอมรับเหตุทั้งหลายที่กล่าวไว้แล้วในตอนต้น มีโรคเป็นต้น แม้สักอย่างหนึ่ง ปฏิเสธทั้งหมด.
อธิบายปุพเพกตเหตุวาทะ
บทว่า ปุพฺเพกตเหตุ แปลว่า เพราะกรรมที่คนทำไว้ในชาติก่อน เป็นเหตุ อธิบายว่า บุรุษบุคคลเสวย (สุขเวทนา ทุกขเวทนา หรือทุกขม- สุขเวทนา) เพราะกรรมที่ คน ทำไว้ในชาติก่อนเป็นปัจจัยเท่านั้น. (ข้อความจาก
ความเห็นผิด 3 ประการ [ติกนิบาต] )
เวทนาทั้ง ๓ นี้ บุรุษบุคคลไม่สามารถเสวยได้เพราะมีกรรมที่ตนทำไว้ใน ปัจจุบัน เป็นมูลบ้าง เพราะสั่งบังคับ (ของคนอื่น) เป็นมูลบ้าง เพราะกรรมที่ตน ทำไว้ในชาติก่อนบ้าง (ข้อความจาก ความคิดเห็นที่ 1 )
คำว่า กรรมที่คนทำไว้ (คน ค ควาย) กับคำว่า กรรมที่ตนทำไว้ (ตน ต เต่า) ย่อมมีความหมายต่างกัน
กรรมที่ คน ทำไว้ ส่องความว่า ผู้ทำกรรมนั้นเป็นคน คือเป็นมนุษย์ ไม่ใช่สัตว์ เดรัจฉานทำ ไม่ใช่เทวดาทำ เป็นต้น อาจส่องความต่อไปว่า ถ้ามนุษย์ทำ ผล จะเป็นอย่างหนึ่ง ถ้าสัตว์เดรัจฉานทำ ผลก็เป็นอย่างหนึ่ง ถ้าเทวดาทำ ผลก็จะ เป็นอีกอย่างหนึ่ง อะไรทำนองนี้
แต่ กรรมที่ตนทำ (ตน ต เต่า) ส่องความว่า ตนเป็นผู้ทำ ไม่ใช่คนอื่นทำ และ ตน ในที่นี้จะเป็นมนุษย์ เป็นสัตว์ เป็นเทวดา ก็มีนัยเท่ากัน คือ ตนทำเอง คนอื่น ไม่ได้มาทำให้
อันที่จริง กระผมก็แค่จะเรียนว่า หนังสือพิมพ์ผิดครับ คำที่ถูกทั้ง ๒ แห่ง คือ ตน (ตน ต เต่า) ไม่ใช่ คน (คน ค ควาย) แต่ต้องการชี้ให้เห็นว่า แม้เพียง พยัญชนะคลาดเคลื่อนโดยไม่เจตนา ก็อาจทำให้อรรถะพลอยแปรปรวนไปได้ กระผมเคยตั้งข้อสังเกตว่า เป็นเพราะในแป้นพิมพ์นั้น ค ควาย กับ ต เต่า อยู่ติดกัน จึงอาจจะกดพลาดโดยไม่เจตนา แต่ถึงกระนั้น ถ้าศึกษาโดยไม่ระวัง ก็อาจทำให้
เข้าใจความหมายคลาดเคลื่อนไปได้
ขออนุโมทนาอย่างยิ่งที่นำข้อความจากพระไตรปิฎกมาให้ศึกษา สาธุ สาธุ
สาธุ อนุโมทามิ