ปันธรรม-ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๐๐๕

 
khampan.a
วันที่  29 มิ.ย. 2554
หมายเลข  18639
อ่าน  2,546

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมในแต่ละครั้งรวบรวมเป็นธรรมเตือนใจสั้นๆ เหมาะสำหรับผู้ที่มีเวลาน้อย เพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ถึงแม้ว่าจะเป็นข้อความที่สั้น แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์อยู่ในตัว ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้

[ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๕]

[๑] พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงตลอด ๔๕ พรรษานั้น เป็นไปเพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูกในลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริง เป็นไปเพื่อละกิเลส ดังนั้น ในการศึกษาพระธรรม ความเป็นผู้ตรงจึงควรที่จะมีเป็นอย่างยิ่ง คือ ศึกษาเพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง เพื่อละคลายความไม่รู้ พร้อมทั้งน้อมประพฤติปฏิบัติตามเพื่อขัดเกลากิเลสในชีวิตประจำวันอย่างแท้จริง ไม่ใช่ศึกษาเพื่ออย่างอื่น

[๒] แต่ละบุคคลย่อมรู้ตัวเองว่ามีคนที่ไม่ชอบตนเองอยู่บ้างเป็นแน่ จะเป็นที่รักของทุกคนคงเป็นไปไม่ได้ คนที่ไม่ชอบเราคงต้องมีบ้าง แต่จะมีมากหรือน้อยนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ถึงแม้ว่าบางทีเราอาจจะเป็นบุคคลที่ดีจริง มีเมตตา มีกรุณากับบุคคลอื่น ไม่หวังร้าย ไม่ประทุษร้ายต่อบุคคลอื่น แต่ความดีของเราถึงอย่างนั้นก็ยังไม่สามารถที่จะป้องกันกุศลจิตของคนอื่น ไม่ให้คิดร้ายหรือว่าโกรธเคืองต่อเราได้ เพราะเหตุว่าถึงแม้ว่าเราจะเป็นคนดีสักเท่าไหร่ก็ตาม คนที่ไม่ชอบเราหรือคนที่ริษยาเราเพียงเล็กน้อย นิดหน่อยก็ต้องมี เพราะฉะนั้น ดีที่สุด คือ เราไม่ควรประทุษร้ายแม้แก่บุคคลที่เป็นข้าศึกต่อเรา

[๓] บางคนอาจจะคิดว่า คนที่โกรธก่อน น่าจะเป็นคนเลวกว่า แต่เวลาที่เมื่อคนอื่นโกรธเราแล้ว แล้วเราก็โกรธเขาบ้าง ทำไมเราถึงจะเป็นคนเลวกว่าบุคคลนั้น ความคิดอย่างนี้อาจจะมีได้ แต่ที่ถูกแล้วควรที่จะได้พิจารณาว่า เพราะเหตุว่าเวลาที่บุคคลใดโกรธ ก็เป็นกุศลของบุคคลนั้น แต่ถึงอย่างนั้นเราก็ยังโกรธตอบสภาพของจิตที่เป็นกุศลในขณะนั้น (ใครจะเลวกว่ากัน?) แล้วถ้ามีการโกรธตอบ มีการโต้ตอบกัน ก็จะไม่เป็นประโยชน์ทั้ง ๒ ฝ่าย คือ ทั้งแก่ตนเองและแก่ผู้อื่น

[๔] คนพาลถูกวิชชาหุ้มห่อไว้ ได้ยินแต่สัทธรรม จึงไม่รู้ ไม่เห็นสิ่งที่ควรเว้นหรือสิ่งที่ควรกระทำ จึงถือเอาผิดจากความจริง เพราะขาดปัญญา จึงไม่รู้ ไม่เห็นตามความเป็นจริง การกระทำทางกาย ทางวาจา และทางใจ ย่อมไม่ดีตามไปด้วย

[๕] พระธรรม เป็นเครื่องเตือนที่ดี ให้เป็นผู้ระมัดระวังแม้ในการพูด (โดยต้องระวังที่จิตใจของตนเอง เมื่อจิตใจสะอาด คำพูดก็สะอาด แต่เมื่อจิตใจไม่สะอาด คำพูดก็ไม่สะอาด) เพราะการพูดในบางครั้งดูเหมือนว่าไม่ได้พูดส่อเสียดให้ผู้อื่นแตกแยกกัน แต่ถ้าพูดถึงบุคคลอื่นในทางที่ไม่มีประโยชน์ คำพูดดังกล่าวย่อมไม่เกิดประโยชน์ทั้งคนพูดและคนฟัง ก็ไม่ควรที่จะพูด ควรพูดเฉพาะคำที่จริง ไพเราะ เป็นประโยชน์ ถูกกาลเทศะ และ พูดด้วยจิตที่ประกอบด้วยเมตตาเท่านั้น

[๖] การแสวงหาลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ทรัพย์สมบัติทั้งหลาย ทำให้ไม่เห็นว่าเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏชั่วคราวแล้วก็หมดไป ย่อมเป็นการแสวงในสิ่งที่ไม่ประเสริฐ เพราะ ได้มาแล้วทำให้ติดข้องยินดีพอใจ และที่สำคัญ เมื่อละจากโลกนี้ไปแล้ว บุคคลไม่สามารถนำเอาทุกอย่างเหล่านี้ไปในภพหน้าได้ เลย ต้องทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างไว้ มีแต่การสะสม ทั้งที่ดีและไม่ดีเท่านั้นจะติดตามไปได้

[๗] ไม่ว่าจะมีความประพฤติผิด ประพฤติไม่ดี เป็นโจรผู้ร้าย หรือมีชีวิตที่มืดมา สักเพียงใดก็ตาม ถ้ามีอะไรที่จะทำให้ผู้นั้นเกิดความเลื่อมใสในทางที่ถูกแม้เพียงชั่วขณะเล็กๆ น้อยๆ ก็ไม่ควรที่ละโอกาสนั้น เพราะกุศลที่เกิดขึ้นเพียงชั่วขณะสั้นๆ นั้น มีค่าที่สุดในชีวิต

[๘] ในชาติที่ผ่านๆ กุุศลก็มากมายอยู่แล้ว แล้วในชาตินี้ควรหรือไม่ที่จะเป็นผู้ที่ไม่รู้ต่อไปด้วยการสะสมกุศลมากขึ้นในชีวิตประจำวัน? เพราะเหตุว่าเมื่อสะสมกุศลมากขึ้นๆ จนกระทั่งมีกำลังมาก ย่อมสามารถล่วงออกมาเป็นทุจริตกรรมประการต่างๆ เบียดเบียนผู้อื่นให้เดือดร้อนได้ทั้งนั้น เป็นคนชั่ว เป็นคนเลวทรามได้ทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นใคร ก็ตาม

[๙] ธรรม ยาก แต่รู้ได้แน่ แต่ต้องเป็นผู้ตรง แม้ว่าเพียงเริ่มต้น ก็จะต้องตรง เมื่อได้ยินได้ฟังอะไร ก็เพื่อพิจารณาไตร่ตรองเพื่อความเข้าใจจริงๆ

[๑๐] คำพูดที่มีประโยชน์ ยิ่งกล่าวมาก ยิ่งมีประโยชน์ ส่วน สิ่งที่ไม่มีประโยชน์นั้นไม่พูดได้ เป็นดีที่สุด

[๑๑] เมื่อสำคัญว่าได้เข้าใจในสิ่งที่ไม่เข้าใจ นั่นเป็นเครื่องกั้นของการเจริญขึ้นแห่งปัญญา

[๑๒] ปุถุชน ก็คือ ปุถุชน ซึ่งเป็นผู้ยังหนาแน่นด้วยกิเลส ยังไม่ใช่พระอริยบุคคล แต่จากอันธพาลปุถุชน ก็เริ่มเป็นกัลยาณปุถุชน ได้ ด้วยการฟังพระธรรม เริ่มขัดเกลากิเลส น้อมประพฤติในสิ่งที่ดีงาม จนกว่าจะถึงความเป็นพระอริยบุคคล ไม่ใช่ว่าจะเป็นพระอริยบุคคล โดยไม่รู้อะไรเลย

[๑๓] กุศล เป็น กุศล ไม่เห็นว่ากุศลดีกว่ากุศล

[๑๔] ใครจะรัก ใครจะชัง ใครจะไปเปลี่ยนแปลงได้ แต่ใจเรา ล่ะ เป็นอย่างไร?

[๑๕] ถึงแม้ว่าคนอื่นเขาจะร้าย แต่ใจเราไม่ร้าย ได้หรือไม่?

ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ ๔ ได้ที่นี่ครับ

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม...ครั้งที่ ๔

...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์

และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
Noparat
วันที่ 29 มิ.ย. 2554

... เมื่อจิตใจสะอาด คำพูดก็สะอาด แต่เมื่อจิตใจไม่สะอาด คำพูดก็ไม่สะอาด ...

ขอบคุณและขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
paderm
วันที่ 29 มิ.ย. 2554

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในธรรมเตือนใจดีๆ ของอ.คำปั่นครับ

และขออนุโมทนาที่พี่เล็ก นพรัตน์กลับมาสนทนาในเวปอีกครั้งครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
bsomsuda
วันที่ 30 มิ.ย. 2554

"เมื่อสำคัญว่าได้เข้าใจในสิ่งที่ไม่เข้าใจ นั่นเป็นเครื่องกั้นของการเจริญขึ้นแห่งปัญญา"

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของ อ.คำปั่น และทุกท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
aurasa
วันที่ 30 มิ.ย. 2554
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
raynu.p
วันที่ 30 มิ.ย. 2554
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
พุทธรักษา
วันที่ 30 มิ.ย. 2554
ขออนุโมทนาค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
panasda
วันที่ 30 มิ.ย. 2554

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
JANYAPINPARD
วันที่ 30 มิ.ย. 2554

... ปันธรรมเพื่อให้ผู้อื่นเกิดปัญญา-ปัญญ์ธรรม ...

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
ผู้ร่วมเดินทาง
วันที่ 30 มิ.ย. 2554

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
orawan.c
วันที่ 30 มิ.ย. 2554
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
wannee.s
วันที่ 30 มิ.ย. 2554

@ คำพูดที่มีประโยชน์ ยิ่งกล่าวมาก ยิ่งมีประโยชน์ ส่วน สิ่งที่ไม่มีประโยชน์นั้นไม่พูดได้ เป็นดีที่สุด

@ ปัญญาเห็นถูก กุศลเป็นกุศล อกุศลเป็นอกุศล ฯลฯ ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
nong
วันที่ 30 มิ.ย. 2554

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
เมตตา
วันที่ 3 ก.ค. 2554

@ ใครจะรัก ใครจะชัง ใครจะไปเปลี่ยนแปลงได้ แต่ใจเรา ล่ะ เป็นอย่างไร?

@ ถึงแม้ว่าคนอื่นเขาจะร้าย แต่ใจเราไม่ร้าย ได้หรือไม่?

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของ อ.คำปั่น ที่ได้นำข้อคิดดีๆ ปันธรรม - มาแบ่งปันให้ได้อ่านได้ศึกษาและพิจารณาร่วมกัน ทำให้ได้พิจารณาถึงอกุศลของตนเองว่าชั่วร้ายนัก เรามักโกรธอกุศลของผู้อื่นเสมอ เสียประโยชน์ทั้งสองฝ่ายจริงๆ และเรายังเป็นผู้เสียประโยชน์มากกว่าอีก เลวกว่าอีก - ปัญญ์ธรรม

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของ อ. คำปั่น ที่ได้แบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) และ

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าด้วยค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
Jans
วันที่ 3 ก.ค. 2554
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของอาจารย์คำปั่น ที่แบ่งปันข้อความธรรม (ป้นธรรม) คะ
 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
traveller
วันที่ 5 ก.ค. 2554

ขออนุโมทนาในธรรมทานที่ คุณกำปั่น ได้นำเรียบเรียงนำมาลงให้สมาชิกได้อ่านเตือนสติครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 16  
 
jaturong
วันที่ 6 ต.ค. 2554
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 17  
 
kullawat
วันที่ 15 ม.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 18  
 
ms.pimpaka
วันที่ 29 เม.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 19  
 
chatchai.k
วันที่ 29 ต.ค. 2563

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 20  
 
มังกรทอง
วันที่ 11 พ.ย. 2564

พระธรรม เป็นเครื่องเตือนที่ดี ให้เป็นผู้ระมัดระวังแม้ในการพูด (โดยต้องระวังที่จิตใจของตนเอง เมื่อจิตใจสะอาด คำพูดก็สะอาด แต่เมื่อจิตใจไม่สะอาด คำพูดก็ไม่สะอาด) เพราะการพูดในบางครั้งดูเหมือนว่าไม่ได้พูดส่อเสียดให้ผู้อื่นแตกแยกกัน แต่ถ้าพูดถึงบุคคลอื่นในทางที่ไม่มีประโยชน์ คำพูดดังกล่าวย่อมไม่เกิดประโยชน์ทั้งคนพูดและคนฟัง

น้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ

 
  ความคิดเห็นที่ 21  
 
มังกรทอง
วันที่ 23 ส.ค. 2565

อาจารย์สุจินต์ท่านแจ้งได้แจ่มแจ้งยิ่งนักขอรับ ด้วยแต่ละคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มาจากพระปัญญา ซึ่งรู้ว่าสัตว์โลกไม่รู้ เพราะฉะนั้น ความรู้จะไม่มีเลยถ้าพระองค์ไม่ทรงแสดงธรรม เพราะฉะนั้น แต่ละคำ ฟังไว้ เพื่อที่จะค่อยๆ เข้าใจจนกระทั่งสามารถที่จะรู้ความจริงได้ตามลำดับ กราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ