ช่วยคลายความสงสัยเรื่องตน

 
pyai
วันที่  19 มิ.ย. 2554
หมายเลข  18583
อ่าน  1,044

กระผมมีความสงสัยใคร่รู้ว่าตนเองเป็นอะไรในเมื่อรูปธรรม และนามธรรมไม่ใช่เราทั้งนั้น

เลย แล้วที่พยายามพากเพียรเพื่อรู้ความจริงให้เบ็ดเสร็จเด็ดขาดกระทำกันเพื่อใคร


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 19 มิ.ย. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย ไม่มีใคร ไม่มีเรา มีแต่ธรรม คำถามที่ตามมาว่า แล้วอย่างนี้จะกระทำความเพียร อบรม

ปัญญาทำไมในเมื่อไม่มีเรา

สภาพธรรมที่เป็นนามธรรมและรูปธรรม เป็นสิ่งที่มีจริง คือ จิตเ จตสิก รูปหรือขันธ์ 5

ความจริงคือ มีการเกิดขึ้นของจิต เจตสิก สืบต่อกันไป ซึ่งก็มีจิตและเจตสิกหลาย

ประเภท มีทั้งจิตที่เป็นผลของกรรม ซึ่งก็คือวิบาก ผลของกรรมมีทั้งที่ดีและไม่ดีครับ

เช่น ผลของกรรมที่ทำให้เกิดในนรก เป็นจิตที่เกิดขึ้น ทำให้ได้รับวิบากทางกาย ที่เป็น

รูป ได้รับสิ่งที่ไม่ดี ดังนั้นแม้จะไม่มีเรา แต่ก็มีจิตที่ทำให้เกิดความทุกข์ทางกาย อันนำ

มาซึ่งความเดือดร้อนทางกาย รวมทั้งมีจิตที่เกิดขึ้นที่ทำให้ทุกข์ใจ เสียใจด้วย เพราะ

ฉะนั้นสังสารวัฏฏ์คือ ความเกิดขึ้นของจิต เจตสิก สืบเนื่องกันไป ไม่สิ้นสุดและต้อง

ได้รับทุกข์มากมาย นับไม่ถ้วน ดังนั้น การทำความเพียร อบรมปัญญญา ก็เพื่อดับเหตุ

การเกิดขึ้นของจิต เจตสิกที่สืบต่อกัน ไม่ให้เกิดขึ้นอีก เมื่อไม่มีการเกิดขึ้นของ จิต

เจตสิก (ไม่มีเรา) ก็ไม่มีการเกิดขึ้นของจิตที่เป็นผลของกรรมที่ทำให้ทุกข์ทางกาย ไม่มี

การเกิดขึ้นของรูป ก็ไม่ต้องทุกข์กายอีก ไม่มีการเกิดขึ้นของจิตที่ทำให้ทุกข์ใจครับ

ดังนั้นเพราะมีความทุกข์มากมายที่เกิดขึ้นและจะเกิดขึ้นอีกที่เป็น จิต เจตสิกทีเกิดขึ้น

จึงต้องอบรมปัญญา เพียรด้วยความเข้าใจ โดยการศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรมในหน

ทางที่ถูกต้อง ไม่มีเราที่สะสมความเห็นถูกแต่เป็น จิต เจตสิกที่เกิดขึ้นสะสมความเห็น

ถูก เพียร วิริยเจตสิกทีเกิดในความเห็นถูก จนปัญญาเจริญขึ้นและสามารถดับหตุคือ

กิเลสประการต่างๆ อันทำให้มีการเกิดขึ้นของสภาพธรรมที่เป็น จิต เจตสิก ที่ไม่มีเรา

แต่การเกิดขึ้นของสภาพธรรมเหล่านี้เป็นเหตุแห่งทุกข์ครับ เพราะฉะนั้น ความเข้าใจ

ว่าไม่มีเรา แต่รู้ว่ามีจิต เจตสิก รูป จึงอบรมปัญญาเพื่อความไม่เกิดอีกของสภาพธรรม

เหล่านี้อันนำมาซึ่งทุกข์ครับ ขออนุโมทนา

อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
wannee.s
วันที่ 19 มิ.ย. 2554

เราไม่มี แต่ จิต เจตสิก ที่เป็นฝ่ายกุศลมี ที่เป็นฝ่ายอกุศลมี เพราะความไม่รู้

จึงเป็นเหตุให้เราทำดีบ้าง ทำชั่วบ้าง ทำให้เราเวียนว่ายตายเกิดอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

จนกว่าจะอบรมปัญญาเท่านั้น ที่จะเป็นหนทางนำไปสู่การพ้นทุกข์ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
pyai
วันที่ 20 มิ.ย. 2554

ขออนุโมทนาในกุศลเจตนาเพื่อละคลายความสงสัย กระนั้นก็ตามปัญญาของกระผมก็ยังตีบตื้น ก็ประมวลเป็นว่าตนคือจิตเจตสิก ใคร่ขอรบกวนท่านวิสัชนาว่าคำประมวลของกระผมถูกต้องหรือไม่ หรือว่าเป็นสิ่งผิด เมื่อกระจ่างชัดขึ้กระผมคงมีกำลังใจใฝ่รู้เพิ่มขึ้นๆ ขอขอบพระคุณที่ท่านจะมีเมตตาตอบให้นะเจ้าคะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
paderm
วันที่ 20 มิ.ย. 2554

เรียนความเห็นที่ 3 ครับ

ขออนุโมทนาครับที่สนใจ สนทนาเพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องครับ

เราจะต้องแยกระหว่าง สมมติขึ้นที่เป็นชื่อ ที่เข้าใจว่าเป็นตน เป็นเราอันเกิดจาก

ความคิด กับความจริงที่เป็นสัจจะ ที่เป็นเพียง จิต เจตสิก รูปครับ จิต เจตสิก ไม่ใช่

เรา แต่เป็นสภาพธรรมครับ

ดังนั้นที่คิดว่ามีเรา มีตัวตนจริงๆ อันสำคัญว่า จิต เจตสิก เป็นเราก็เป็นเพียงความ

คิดเท่านั้นครับ ขณะที่หลับสนิท ที่คิดว่ามีเรา มีคนนั้นคนนี้ ขณะนั้นไมได้คิดอะไรเลย

มีเราเพราะคิดนึก เพราะเข้าใจผิดครับ ก็ต้องเข้าใจที่คิดว่าเป็นตน เมื่อไหร่ที่คิดว่า

เป็นตน เมื่อขณะที่คิดว่าเป็นตนเท่านั้น ก็เป็นเพียงความคิด แต่ขณะที่อื่นๆ ที่ไมได้คิด

ว่าเป็นตน ขณะนั้นก็มีแต่ จิต เจตสิกกำลังทำหน้าที่ครับ เช่น ขณะที่เห็น ขณะนั้นไม่มี

ความคิดว่ามีตน แต่กำลังเห็นกเป็นเพียงจิตที่ทำหน้าที่เท่านั้นครับ ดังนั้นเพราะมีจิต

เจตสิก จึงสมมติเรียกว่าเป็น คนนั้นคนนี้ แต่สิ่งที่มีจริงคือ จิต เจตสิก รูป ที่สำคัญที่

สุดคือ การที่คิดว่าตนเป็นจิต เจตสิก หรือ จิต เจตสิก เป็นตน เป็นเรา เพราะปัญญา

ยังไม่ได้ประจักษ์ว่า จิต เจตสิกจริงๆ เป็นอย่างไร ซึ่งจะขอนำคำอธิบายของท่าน

อาจารย์สุจินต์ที่อธิบายได้ดีครับ ในเรื่องนี้

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
paderm
วันที่ 20 มิ.ย. 2554

คำบรรยายของท่านอาจารย์สุจินต์ ชุดเทปวิทยุ ครั้งที่ 831 วันหนึ่งๆ นี้ คิดมากมายหลายเรื่อง โดยที่สติไม่ได้ระลึกรู้ว่า ขณะนั้นเรื่องไม่มีจริง แต่ว่า

ที่คิดเป็นปรมัตถ์ เป็นสิ่งที่มีจริง ถูกไหมคะ เพราะฉะนั้น เวลาใดที่สติเกิดขึ้น ระลึกรู้จิต

ที่คิด รู้ว่าแท้ที่จริงแล้ว เรื่องที่คิดทั้งหมดนั้น เป็นสมมติสัจจะเท่านั้น ไม่ใช่ปรมัตถสัจจะ

แต่ปรมัตถสัจจะในขณะที่สติระลึกรู้สภาพที่กำลังคิด รู้ว่าไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ บุคคล

ที่รู้ว่าไม่ใช่ตัวตน สัตว์ บุคคล เป็นสภาพที่คิด เมื่อเป็นเพียงสภาพที่คิด จึงเป็นปรมัต

ถสัจจะ ส่วนเรื่องที่กำลังคิด เป็นสมมติสัจจะ

เพราะฉะนั้น การอบรมเจริญสติปัฏฐานนั้น เป็นการรู้ลักษณะของสภาพธรรมทางตา

ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ เมื่อรู้ชัดจึงจะสามารถที่จะแยกออกว่า ทางตา

ขณะที่รู้ในสภาพที่กำลังเห็น ขณะนั้นเป็นปรมัตถสัจจะ ทางหู ขณะที่กำลังระลึกรู้สภาพ

ที่กำลังรู้เสียงว่า เป็นสภาพที่ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เป็นแต่เพียงสภาพรู้ทางตา ขณะ

นั้นก็รู้ว่า นั่นเป็นปรมัตถสัจจะ แต่พอถึงทางใจที่คิดเรื่องราวต่างๆ ปัญญาก็รู้ว่าขณะที่

คิด กำลังคิด สภาพที่คิด มีจริง ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวตน สัตว์ บุคคล สภาพที่คิดเป็นปรมัต

ถสัจจะ ส่วนเรื่องที่กำลังคิดอยู่เป็นสมมติสัจจะทั้งหมด เพราะฉะนั้น วันหนึ่งๆ อยู่กับ

สมมติสัจจะ คือ ความคิดตลอดเวลา จนกว่าสติจะระลึกรู้ลักษณะที่เป็นปรมัตถ์ จึงจะรู้ว่า

เรื่องทั้งหมดนี้เป็นความจริงโดยสมมติเท่านั้น แต่ไม่ใช่เป็นปรมัตถ์

เพราะฉะนั้น ผู้ที่ไม่อบรมเจริญสติปัฏฐาน ไม่สามารถที่จะรู้ความต่างกันของปรมัต

ถสัจจะและสมมติสัจจะ แม้ว่าจะได้อ่านคัมภีร์ที่กล่าวถึงสัจจะ ๒ ประการ คือ ปรมัต

ถสัจจะ และสมมติสัจจะ ก็เป็นเพียงขั้นเข้าใจตามว่า ความจริง มี ๒ อย่าง คือ ความจริง

โดยสมมติ และความจริงที่เป็นปรมัตถธรรม

------------------------------------------------------------------------

ปัญญาต้องค่อยๆ เจริญขึ้นทีละน้อยครับ ยังไม่สามารถที่จะไถ่ถอนความยึดถือว่ามีเรา มี

ตัวตนได้ทันที แต่ค่อยๆ เข้าใจขึ้นจากขั้นการฟังทีละเล็กละน้อยได้ครับ ซึ่งสำคัญที่สุด

คือฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมต่อไปอันเป็นหนทางที่จะละคลายความยึดถือผิดว่ามีเรา

มีสัตว์ บุคคลได้จริงๆ ครับ ขออนุโมทนาคุณ pyai ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
pyai
วันที่ 20 มิ.ย. 2554

ขอบพระคุณในความเมตตาที่ท่านอนุเคราะห์บรรยาย และชี้ทางให้หมั่นฟังสัตตบุษเมธี

บรรยายให้รู้เหตุปัจจัยให้เห็นการสืบต่อของสังสารวัฏ ก็โดยฟังท่านให้มากจนปัญญา

ประจักษ์ กระผมก็จะใฝ่ฟังตามโอกาสที่อำนวยให้ ขออนุโมทนาในกุศลบทแห่งพiระคุณ

ท่าน

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
จักรกฤษณ์
วันที่ 21 มิ.ย. 2554

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
นาวาเอกทองย้อย
วันที่ 22 มิ.ย. 2554

ไม่ว่าท่านเจ้าของกระทู้จะเป็น นะเจ้าคะ หรือ กระผมก็จะใฝ่ฟัง ก็ตามที ก็ขอ

อนุโมทานาด้วยทั้งนั้นแหละครับเพราะทำให้กระผมพลอยได้ความรู้ไปด้วย

สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ