บทสัมภาษณ์คุณวรรณี แซ่โง้ว โดย นสพ.สาส์นสวรรค์ [๒]
คุณวรรณีบอกว่าตั้งใจรับใช้งานศาสนา จะทำไปจนกว่าทำไม่ไหว ไม่เคยรู้สึกเหนื่อยกับงาน ชอบในสิ่งที่ทำเพราะใจรักในด้านนี้ มีความมั่นคงที่จะอยู่ที่มูลนิธิฯ นี้ไปตลอดเพราะการสอนของที่มูลนิธิฯ เน้นเรื่องปัญญาซึ่งเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า ฟังธรรมะจากอาจารย์แล้วทำให้ได้ขัดเกลากิเลสและปัญญา เลยตั้งใจที่จะรับใช้งานศาสนา
คุณวรรณีได้ให้นิยามของคนดีว่า “คนดี” ต้องมีศีล ๕ อย่างน้อยศีล ๕ เป็นคุณธรรมของคน ถ้าคนในสังคมมีศีล ๕ ก็จะไม่มีการทะเลาะกัน ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่พูดเท็จ ไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อน ไม่ผิดประเวณี ไม่ดื่มสุรา ซึ่งคุณวรรณีเองก็ถือศีลโดยปกติ และตั้งใจถือศีล ๕ ตลอดชีวิต แล้วแต่เหตุปัจจัย แต่จะพยายามรักษาศีลให้ดีอย่างเรื่องคำพูดก็ต้องระวัง เจตนาจะโกหกไม่มี สื่อสารผิดอันนี้เป็นไปได้ แต่จะไม่พูดให้ร้ายคนอื่น ไม่ส่อเสียด ถ้าคนเรามีศีล ๕ สังคมก็จะอยู่อย่างมีความสุข ถ้าขาดศีล ๕ แล้วก็ไม่ใช่คนดี คุณวรรณีเชื่อว่าคนดีในสังคมยังมีอีกเยอะ เพียงแต่เราไม่เห็นเหมือนคนที่ปิดทองหลังพระ แม้แต่ในสมัยพุทธกาลก็ยังมีพระอริยบุคคลเขาก็ไม่อยากให้คนอื่นรู้ว่าเขามีคุณธรรมอะไรบ้าง เขาจะปกปิด ถ้าคนมีคุณธรรมแล้วส่วนใหญ่เขาไม่ประกาศ และเขาจะไม่เปิดเผยด้วยซ้ำไป
ถึงแม้ว่าจะมีคนมาชื่นชมก็คิดว่าตัวเองยังไม่ดีจริงอย่างที่เขาชม เรายังมีกิเลสอยู่ การให้ทานหรือรักษาศีลกี่ภพกี่ชาติก็ไม่สามารถออกจากวัฎฎะได้ เราให้ทานหรือช่วยเหลือใครก็แค่ชาติเดียว แต่ถ้าเราให้ธรรมะและเขาได้ฟังธรรมได้อบรมเจริญปัญญา เขาก็มีโอกาสได้เจริญกุศลด้านอื่นด้วยตัวเขาเอง แล้วกุศลที่เขาทำเองก็จะได้ติดตัวเขาไปถึงภพหน้า ไม่เหมือนอาหารหรือเสื้อผ้านี่ให้ประโยชน์เพียงชาติเดียว แต่ว่าปัญญากับความรู้ที่เขาได้จากการฟังธรรมจะติดตามไปถึงภพหน้า ทำให้ขัดเกลากิเลสจนในที่สุดพ้นกิเลสได้
ที่นี้ลองมาฟังความคิดเห็นของผู้ที่มาฟังธรรมและผู้ร่วมงานกับคุณวรรณีว่า ท่านเหล่านี้มีความคิดเห็นอย่างไรในกุศลที่เธอได้สร้างขึ้น “เขาเป็นคนมีเมตตากับคนและสัตว์ เสียสละ คิดถึงแต่ผู้อื่น เกื้อกูลทุกคนเป็นอย่างดี ใจดี ชอบทำบุญทำทาน มีความเข้าใจในเรื่องธรรมะได้ดี ชอบช่วยเหลือผู้อื่นโดยไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อย มีน้ำใจ ชอบอุปการะ ให้ของคนที่ขาด ชอบแบ่งปัน คอยให้ความสะดวกกับผู้ที่มาฟังธรรมในมูลนิธิเสมอ เป็นคนคล่องแคล่วว่องไว กระฉับกระเฉงในการทำงาน รับผิดชอบและตรงต่อหน้าที่ จริงใจต่อสหายธรรมทุกคน ตอบปัญหาทางเวปไซด์”
ขอขอบคุณคุณวรรณีที่ทำให้โลกนี้เป็นสีขาวและน่าอยู่ สำหรับผู้ที่มีปัญหาธรรมะสามารถเข้าไปถามคุณวรรณี (และคณะวิทยากรท่านอื่นๆ) ได้ที่เวปไซด์บ้านธัมมะ
www.dhammahome.com
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ
แบ่งเป็น 2 ตอน เชิญคลิกอ่าน ตอนที่ ๑ ...
ขออนุโมทนาในกุศลทุกๆ ประการของพี่วรรณีอีกครั้งครับและขอขอบพระคุณการนำเสนอข่าวเกี่ยวกับคุณความดีของคนดีด้วยครับ
ขออนุโมทนาในกุศลจิตที่คิดดีและได้ทำสิ่งที่ดีๆ ...คะ
พี่วรรณีเคยเตือนข้าพเจ้าว่า...จงมีพระธรรม เป็นที่พึ่งอย่ามีสิ่งอื่น เป็นที่พึ่ง....
อนุโมทนาค่ะ...
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พี่วรรณี เป็นคนดี มีน้ำใจ (เวลาที่พี่วรรณีมาทำงานที่มูลนิธิฯ ไม่เคยมามือเปล่าเลยมักจะซื้อของมาฝากเพื่อนๆ เจ้าหน้าที่ทุกคน ทุกวัน เสมอๆ) เป็นผู้อุทิศตนเพื่อพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริง และที่ควรแก่การอนุโมทนาอย่างยิ่ง คือ ได้ปรนนิบัติดูแลท่านอาจารย์ทั้งสอง คือ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ และ ท่านอาจารย์ดวงเดือน บารมีธรรม ซึ่งเป็นผู้เปี่ยมด้วยเมตตาต่อพวกเราทุกคน ครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาคุณขณิษฐา (ผู้เขียนคอลัมน์ เพชรในตม)
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของท่านที่ได้ประกาศคุณความดีของพี่วรรณี
และขออนุโมทนาในกุศลทุกประการของพี่วรรณี ด้วยเช่นกันครับ
ปลื้มใจมากครับแม้ไม่รู้จักกันเลย.แต่ความดีทำให้รู้สึกเหมือนญาติ
ขออนุโมทนาครับ.
ขอขอบคุณคุณวรรณี ผู้มีเมตตา เสียสละ มีน้ำใจเอื้อเฟื้อ ก่อนที่จะได้มาฟังธรรมที่มูลนิธิฯ คุณวรรณีเป็นผู้หนึ่งทีชักชวนให้มาฟังธรรมที่มูลนิธิฯ และยังให้ความสะดวกหลายประการในการติดต่อที่มูลนิธิฯ ได้อ่านธรรมที่คุณวรรณีเขียนในเว็ปไซด์ ทำให้ได้รับความรู้ ความเข้าใจธรรมบางประการ ซึ่งคุณวรรณีได้สะสมมา โอกาสนี้ขอชื่นชมยินดีกับคุณความดีของคุณวรรณี ด้วยค่ะ นอกจากนี้ก็ขอขอบพระคุณอีกหลายท่านเช่นคุณผเดิม และท่านอื่นๆ ที่ไม่ได้กล่าวชื่อ ก็เป็นผู้มีน้ำใจเอื้อเฟื้อต่อผู้มาฟังธรรม รวมทั้งท่านวิทยากรทุกท่านที่มีเมตตา ตอบปัญหาในทุกสถานที่
ขออนุโมททนาในกุศลจิตทุกท่านค่ะ
ขออนุโมทนากับคุณวรรณีในกุศลกรรมทุกๆ อย่างที่ได้กระทำมา เห็นด้วยค่ะ คุณวรรณีเป็นคนน่ารัก มีเมตตา เป็นคนแรกที่่ีได้รู้จักก่อนที่จะมามูลนิธิฯ ด้วยความเป็นมิตร ใจดี และเกื้อกูลให้เข้าใจธรรมตลอดมา คุณวรรณีชอบเรียกผู้อื่นว่านางฟ้ามาตลอด ถึงเวลาที่นางฟ้าตนจริงปรากฎแล้วค่ะ
ขอบคุณและอนุโมทนาด้วยค่ะ
สาธุ ขออนุโมทนาครับ
วันนี้เป็นคร้่งแรกที่ผมได้ไปมูลนิธิหลังจากที่ได้ไปทำงานแถวนั้นเสร็จ ก็เลยแวะเข้าไปเพราะใจอยากได้เทปและหนังสือไปให้แฟนที่เคยเป็นคนพุทธและเปลี่ยนไปนับถือศาสนาอื่นได้ลองฟังและศึกษา (เพราะผมถามเธอว่า รู้ไหมว่า ธรรมะหมายถึงอะไร เธอไม่รู้ และพอถามว่ารู้ไหมว่าพระพุทธเจ้าสอนว่าอะไร เธอตอบว่า ก็สอนให้ทำความดี ผมจึงบอกว่า ถ้าอย่างนี้ ก็ไม่เรียกว่า เคยเป็นคนพุทธ ได้แต่เป็นพุทธตามทะเบียนบ้านเท่านั้น ผมจึงได้ลองเปิดคลิปเสียงบรรยายธรรมมะของท่านอาจารย์สุจินต์ให้ฟัง เธอฟังอย่างตั้งใจ และถามว่า ผู้บรรยายคือใคร และอยู่ที่ไหน เพราะเธอไม่เคยฟังเช่นนี้มาก่อน ผมได้นัดกับแฟนไว้แล้ว่ว่าจะพาไปฟังท่านอาจารย์บรรยายที่ ร.พ. พระมงกุฏฯ ในวันที่ 5 พ.ค. นี้)
ระหว่างเลือกแผ่นซีดี คุณวรรณีได้ออกมาและเข้ามายกมือไหว้สวัสดี ทำให้ผมยกมือไหว้กลับแทบไม่ทัน คุณวรรณีได้กรุณาแนะนำเทปและจัดหนังสือให้ผมหลายเล่ม มีทั้ง ปรมัตธรรมสังเขป พระอภิธรรมในชีวิตประจำวัน เกิดแก่เจ็บตาย มีชีวิตอยู่ด้วยปัญญา , บันทึกสุดท้าย จากคุณบุษบงรำไพฯ เป็นต้น ดีใจมากครับและเห่อมาก ผมตั้งใจว่าจะอ่านให้จบก่อนทุกเล่ม ถึงจะนำไปให้คนอื่นอ่านต่อ เพราะแต่ก่อนได้หนังสือธรรมะมา ก็จะนำไปคนอื่นทันที แต่ได้ยินท่านอาจารย์สุจินต์บอกว่า ก่อนที่จะให้ธรรมแก่คนอื่น ควรจะได้ศึกษาเสียเองก่อนด้วย
คุณวรรณียังได้พาผมไปกราบนมัสการพระบรมสารีริกธาตุด้วย ผมก็ได้ตั้งจิตอธิษฐานต่อพระบรมสารีริกธาตุว่า "ขอใ้ห้กระผมมีความมั่นคงในพระธรรมตลอดไป"
ก่อนกลับ คุณวรรณียังได้เข้าไปเอาซีดีพระไตรปิฎก 1 แผ่น และ MP3 อีก 2 แผ่นให้ด้วย ต้องขอขอบพระคุณอย่างสูงมา ณ ที่นี้ครับ
ผมขอกล่าวถึง อัธยาศัยในการให้ทาน ของ คุณวรรณี หลายต่อหลายครั้ง จนจำไม่ได้แล้วว่าคุณวรรณี เป็นอธิบดี คือ เป็นใหญ่ในการให้ทานจริงๆ ครับ เพราะ การให้ทาน เหมือนการออกสู่สงครามที่ต่อสู้กับความตระหนี่ของตัวเอง คุณวรรณี จะเป็นแม่ทัพนำหน้าเสมอ และเธอจะชนะเกือบทุกครั้ง (ที่ใช้คำว่า "เกือบ" เพราะมีแต่พระอริยบุคคลเท่านั้นที่หมดความตระหนี่ (มัจฉริยะ) อย่างเด็ดขาด) ..........
ขออนุโมทนาในกุศลทุกประการของคุณวรรณี และทุกท่านครับ
