รบกวนช่วยอธิบายเรื่องจิตไม่ได้สั่งให้รูปเกิดด้วยค่ะ

 
Jesse
วันที่  22 มี.ค. 2554
หมายเลข  18089
อ่าน  1,612

เมื่อเช้านี้ได้ฟังวิทยุออนไลน์ที่ท่านอาจารย์ได้สนทนาธรรมเรื่องจิต มีผู้ถามท่านหนึ่งถามเรื่องว่า ในขณะที่ขยิบตาก็เหมือนกับจิตสั่งให้ขยิบ แต่ท่านอาจารย์ได้อธิบายว่าไม่ได้เกิดจากจิตสั่ง ซึ่งตรงนี้ฟังแล้วก็ยังไม่เข้าใจค่ะ ว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น เพราะว่ามันก็ดูเหมือนว่าจิตสั่งทำให้เกิด เป็นวิญญัตติรูป รบกวนท่านผู้รู้ช่วยอธิบายให้เกิดความเข้าใจด้วยค่ะ ขอขอบพระคุณค่ะ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
khampan.a
วันที่ 22 มี.ค. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ก่อนอื่นต้องมีความเข้าใจเป็นพื้นฐานเบื้องต้นก่อนว่า ธรรมทั้งปวง เป็นอนัตตาไม่สามารถบังคับบัญชาได้ ไม่สามารถบังคับให้เห็นเกิดได้ ไม่สามารถบังคับให้ได้ยินเกิดได้ ไม่สามารถบังคับให้โลภะเกิดได้ ไม่สามารถบังคับให้โทสะเกิดได้ เป็นต้น แต่สภาพธรรมเหล่านี้ก็เกิดขึ้นเป็นไปแล้ว เมื่อเกิดแล้วก็ดับไปไม่ยั่งยืน และที่ควรพิจารณา คือ สภาพธรรมที่เกิดขึ้นเป็นไปในชีวิตประจำวัน ไม่พ้นไปจากนามธรม คือ จิต (สภาพธรรมที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์) เจตสิก (สภาพธรรมที่เกิดร่วมกับจิต) และ รูปธรรม (สภาพธรรมที่ไม่รู้อารมณ์อะไรเลย) ซึ่งเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยจริงๆ ไม่สามารถบังคับ สั่ง หรือรับคำสั่งอะไรได้เลย ยกตัวอย่างเพียงแค่การขยิบตา ถ้าไม่มีความต้องการเกิดขึ้นเป็นโลภะ จะขยิบตาหรือไม่? กุศลจิต ที่มีโลภะเกิดร่วมด้วยเกิดขึ้นเป็นไปอย่างรวดเร็ว และยังเป็นปัจจัยให้รูปที่เกิดเกิดเพราะจิตเป็นสมุฏฐาน เกิดขึ้นด้วย เพราะสมุฏฐานที่ก่อตั้งให้รูปเกิดขึ้นมี ๔ สมุฏฐาน คือ กรรม ๑ จิต ๑ อุตุ ๑ และ อาหาร ๑ เมื่อกล่าวโดยสรุปแล้ว คือ จิตเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์เท่านั้น ส่วนรูปธรรม เป็นสภาพธรรมที่ไม่รู้อะไร จิตไม่สามารถสั่งรูปได้ และ รูปก็ไม่สามารถรับคำสั่งได้ ครับ ขอเชิญคลิกอ่านข้อความเพิ่มเติมได้ที่นี่ครับ จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว ถูกต้องตามหลักธรรมหรือไม่ ...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณ Jesse และ ทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
chaiyut
วันที่ 22 มี.ค. 2554

พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสรู้และทรงแสดงนั้นลึกซึ้งมาก ไม่อาจประมาณได้จากการตรึกตรอง แต่ค่อยๆ เข้าใจถูกขึ้นได้ด้วยการฟังการศึกษาตามลำดับครับ เพราะสิ่งที่พระองค์ทรงรู้แจ้งนั้น เป็นธรรมะ คือ สิ่งที่มีจริง ซึ่งเป็นสัจจะแต่ละอย่างๆ พิสูจน์ได้ด้วยการอบรมเจริญปัญญาของผู้ที่เป็นสาวกเอง สิ่งใดที่ได้ตรัสไว้ เป็นคำจริง เป็นหนึ่ง ไม่มีสอง ไม่มีดูเหมือนกับ ไม่มีเหมือนกับว่า ไม่มีคาดคะเน สภาพธรรมใดเป็นอย่างไร ทรงแสดงความจริงของสภาพธรรมนั้นอย่างนั้น แต่เราจะเข้าใจชัดเจนทันทีไม่ได้ ต้องค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ เรียน ให้เข้าใจขึ้นๆ ในความละเอียดของสภาพธรรมที่เกิดขึ้นโดยอาศัยปัจจัย และยังเป็นปัจจัยแก่กันและกันอย่างลึกซึ้งโดยที่เราไม่เคยรู้มาก่อนว่าจะเป็นไปได้ถึงเพียงนั้น ศึกษาไปๆ เราจะค่อยๆ รู้ถูกต้องในเหตุและผลของสภาพธรรมขึ้นทีละเล็กทีละน้อยเอง ส่วนเรื่องของความไม่เข้าใจ ความสงสัย ย่อมมีมากอยู่เป็นธรรมดาเพราะเราเป็นปุถุชน แต่ถ้าเรายังไม่ทิ้งพระธรรม เราก็ยังอยู่ในวิสัยที่พอจะเข้าใจธรรมะต่อไปอย่างค่อยเป็นค่อยไปได้ครับ

เชิญคลิกฟังธรรมครับ >> ไม่มีคำว่า จิตสั่ง เพราะไม่มีลักขณาธิจตุกของจิตสั่ง

ถ้าศึกษาปุเรชาตปัจจัยแล้ว คำว่าจิตสั่งจะไม่มี

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
Jesse
วันที่ 22 มี.ค. 2554

ขอบพระคุณอาจารย์คำปั่นและคุณchaiyut มากๆ ค่ะ ที่กรุณาอธิบายและให้ความกระจ่างโดยสรุปแล้ว รูปที่เกิดจากจิตนั้นจริงๆ มาจากกิเลสภายใน คือ โลภะ โทสะ โมหะ ที่เป็นต้นเหตุทำให้เกิดรูป อันนี้เข้าใจถูกต้องมั๊ยค่ะ และที่จู่ก็นึกจะขยิบตา ในความเป็นจริงก็ไม่มีตัวเราที่คิด แต่เป็นสภาพธรรมที่มีเหตุปัจจัยจึงทำให้รูปที่จะขยิบตาเกิดขึ้นใช่มั๊ยค่ะ

ขอบพระคุณอีกครั้งนะคะที่ช่วยอธิบายและจะฟังและศึกษาธรรมไปเรื่อยๆ ให้เกิดความเข้าใจให้มากกว่านี้ค่ะ ขออนุโมทนาให้กุศลจิตของทุกๆ ท่านด้วยค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
khampan.a
วันที่ 22 มี.ค. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น เรียนความคิดเห็นที่ ๓ ครับ พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดง มีความละเอียดลึกซึ้งเป็นอย่างยิ่งแสดงถึงความเป็นจริงของสภาพธรรมในชีวิตประจำวัน ซึ่งถ้าไม่ได้ฟัง ไม่ได้ศึกษาจะไม่รู้เลยว่าชีวิตประจำวันเป็นธรรม ชีวิตที่ดำเนินไปในแต่ละขณะ ทุกสถานการณ์ไม่พ้นไปจากธรรมเลย สำคัญที่ความเข้าใจที่ถูกต้องว่าขณะนี้เป็นธรรม เห็นเป็นธรรมได้ยินเป็นธรรม ความติดข้อง เป็นธรรม ความไม่พอใจ เป็นธรรม ความเข้าใจถูก เป็นธรรม ความไม่รู้คืออวิชชา ก็เป็นธรรม เป็นต้น เป็นสภาพธรรมแต่ละอย่างที่เกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัยแล้วก็ดับไป หาความเป็นสัตว์ บุคคล ตัวตนไม่ได้เลย จากประเด็นคำถามสืบเนื่องนั้น ก่อนอื่นต้องเข้าใจว่า จิตประเภทใดบ้างที่เป็นปัจจัย ให้รูปเกิด (ซึ่งเมื่อกล่าวถึงจิต ก็ต้องหมายรวมเจตสิก ซึ่งเป็นสภาพธรรมที่เกิดร่วมกับจิต ด้วย) และจิตประเภทใด ไม่เป็นปัจจัยให้รูปเกิด

จิตเหล่านี้ คือ ทวิปัญจวิญญาณ ๑๐ อรูปวิบาก ๔ ปฏิสนธิจิต ๑ จุติจิตของพระอรหันต์ ๑ ไม่เป็นปัจจัยให้รูปเกิด ส่วนจิตที่เหลือนอกจากนี้ย่อมเป็นปัจจัยให้รูปเกิดได้ จากคำถามที่ถามต่อเนื่อง ก็สามารถพิจารณาได้ว่า ตามความเป็นจริงแล้ว กุศลจิต ก็เป็นปัจจัยให้รูปเกิดได้ ไม่ใช่เฉพาะกุศลจิต เท่านั้น ยกตัวอย่างเช่น ขณะให้ทาน จิตเป็นกุศล รูปที่เกิดจากจิตที่เป็นกุศล นั้น ย่อมทำให้สีหน้าผ่องใส ซึ่งจะต่างกับขณะที่โกรธขุ่นเคืองใจไม่พอใจ รูปที่เกิดจากกุศลจิตในขณะนั้น ย่อมไม่ผ่องใส และ กรณีขยิบตานั้น ก็เป็นความเข้าใจที่ถูกต้อง เพราะไม่มีตัวเราที่คิด ไม่มีตัวเราที่ต้องการมีแต่ธรรมเกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ครับ ขอเชิญคลิกอ่านข้อความเพิ่มเติมได้ที่นี่ครับ จิตตชรูป

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณ Jesse และ ทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
เมตตา
วันที่ 22 มี.ค. 2554

ถ้าไม่มีความต้องการเกิดขึ้นเป็นโลภะ จะขยิบตาหรือไม่? อกุศลจิต ที่มีโลภะเกิดร่วมด้วยเกิดขึ้นเป็นไปอย่างรวดเร็ว และยังเป็นปัจจัยให้รูปที่เกิดเกิดเพราะจิตเป็นสมุฏฐาน เกิดขึ้นด้วย

...ขอบพระคุณและขออนุโมทนาอ.กำปั่นและคุณchaiyut ด้วยค่ะ..

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
ไตรสรณคมน์
วันที่ 23 มี.ค. 2554

ลมหายใจเป็น "รูปที่เกิดจากจิต" มีมาตั้งแต่เกิดจนตาย.........มีใครสั่งมั้ยค่ะ?

ถ้าสั่งได้.........แล้วตอนที่หลับสนิทเนี่ย สั่งยังไงค่ะ?

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
Jesse
วันที่ 23 มี.ค. 2554

ขอบพระคุณอาจารย์คำปั่นและขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
ไรท์แจกแล้วไง
วันที่ 3 พ.ค. 2554

สั่งให้บรรลุทีครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ