บางครั้งฟังมาก...ก็เบื่อฟังธรรม

 
สารธรรม
วันที่  28 ก.พ. 2554
หมายเลข  17967
อ่าน  1,698

(ณ วัดนาคนิมิต จ.เชียงใหม่)

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น

ถอดเสียงจาก ชุดปกิณณกธรรม แผ่นที่ ๑๒ ครั้งที่ ๗๑๐

สนทนาธรรมที่มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา พ.ศ. ๒๕๔๖

โดย ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์

"... บางครั้งฟังมาก ก็เบื่อฟังธรรม ..."

ท่านผู้ถาม ท่านอาจารย์พูดถึงเรื่องความจริงช่วงนี้นะคะว่า สำหรับคนที่แบบว่าอาจจะฟังมากแล้ว ก็คงจะบางครั้งเนี่ยก็จะเบื่อๆ ซึ่งจริงๆ สำหรับตัวหนูเองก็บางครั้งก็เบื่อเหมือนกัน แต่ว่าก็เป็นความจริงที่ว่า ความเบื่อนั้น ก็ปรากฏขึ้นเป็นสภาพธรรมที่มีจริงๆ ในชีวิตประจำวัน เพราะฉะนั้นเนี่ย ไม่ว่าจะเบื่อ หรือว่าจะไม่เบื่อยังไง ก็คือความจริงในขณะนั้น ซึ่งแต่ละคนก็ต้องทราบใช่ไหมคะ ท่านอาจารย์

ท่านอาจารย์ อันนี้ก็เป็นการถูกต้อง ไม่ใช่ว่าคนฟังธรรมนี้จะไม่เบื่อเลย น่าเบื่อ ไม่สนุก ใช่ไหม พาเราไปเล่นที่ไหนทำอะไร ดูนก ดูต้นไม้ ก็จะดีกว่า เพลิดเพลินดีใช่ไหม

เพราะฉะนั้น ก็จะเห็นได้ว่า เพราะความติดในสิ่งที่เราเคยพอใจมาก จะยับยั้งไม่ให้เกิดความเบื่อในสิ่งซึ่งดูเหมือนกับว่าไม่เห็นจะมีอะไรๆ ที่จะน่าพอใจ เหมือนอย่างรูป เสียง กลิ่นรส โผฏฐัพพะ ใช่ไหม

แต่ว่าเราเป็นผู้ที่เห็นประโยชน์ เพราะฉะนั้น ทุกอย่างที่เกิดแล้วเป็นจริงเนี่ยค่ะ ไม่มีใครปฏิเสธเลย แต่ต้องรู้ตามความเป็นจริงว่าไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวตน และก็เป็นธรรมทั้งหมด จนกว่าเมื่อไรเป็นธรรมทั้งหมดนะคะ เมื่อนั้นก็คือว่า ถึงการที่สำเร็จกิจทั้งหลาย ไม่ต้องมีกิจใดๆ ที่จะต้องทำอีกแล้ว คือถึงความเป็นพระอรหันต์

ถ้าตราบใดที่ยังไม่ถึง ก็จะยังไม่ทอดทิ้ง จะยังคงเป็นคนที่อยู่ในเหวลึก ไม่ไต่ขึ้นมาสักทีหนึ่ง แล้วก็มืดสนิทด้วยนะคะ ทั้งๆ ที่มีหนทางที่จะขึ้นจากเหว แต่ไม่ใช่หนทางที่ง่าย และไม่ใช่หนทางที่เร็ว แต่ก็เป็นหนทางที่ผู้ที่ยังเพลิดเพลินอยู่เนี่ยนะคะ ก็อดจะเพลิดเพลินต่อไปไม่ได้ แต่ก็ไม่ทิ้งการที่เห็นประโยชน์ แล้วก็รู้กำลังของเรา

อย่างคราวก่อนที่กล่าวถึงว่ากำลังง่วง ะคะ แล้วก็จะฟังธรรมดี หรือว่า จะหลับดี เห็นไหมคะ ชีวิตประจำวันจริงๆ ค่ะมีความเป็นเราที่ต้องการจะหลับใช่ไหมคะ อยู่มาตั้งหลายชั่วโมงแล้ว ยังไม่หลับเลยซักที จะรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ หรือจะหลับ นี่มาแล้วค่ะ เครื่องที่จะส่องถึงสัจธรรม ความจริงของเรา ว่าตัวเราคืออย่างนี้ เดี๋ยวนี้ที่กำลังคิดอย่างนั้น และแม้แต่สติสัมปชัญญะที่ได้อบรมแล้วจะเกิด ถ้ามีปัจจัยก็เกิด ถ้าไม่มีปัจจัย ยังเป็นผู้ที่อบรมอยู่ เพราะฉะนั้น สิ่งที่มีจริง ที่ได้สะสมมาทั้งหมดก็มีปัจจัยเกิดให้เห็น เพื่อที่จะรู้ว่ากำลังปัญญาระดับไหน ถึงระดับที่เห็นคุณของปัญญานะคะ สติสัมปชัญญะ การรู้ลักษณะของสภาพธรรม หรือว่า นอนก่อนใช่ไหมคะ นี่ก็เป็นสิ่งที่ธรรมดา ไม่ทราบว่าวิทยากรท่านอื่นเป็นหรือเปล่า

อ.ธีรพันธ์ เป็นครับ

อ.วิชัย ครับ ก็เป็นเหมือนกัน

ท่านอาจารย์ เห็นไหม วิทยากรก็เป็น ใครก็เป็น เพราะเป็นความจริง เป็นสัจธรรมที่ทุกคนไม่ปฏิเสธเลย แล้วก็รู้ด้วยว่า เป็นอกุศล ดีกว่าที่เราจะไปคิดว่า (อกุศล) ดีใช่ไหมคะ เมื่อเป็นอกุศลก็คือเรายังมีอกุศลระดับนั้น ก็ยังมีอยู่


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
เมตตา
วันที่ 1 มี.ค. 2554

แต่ว่าเราเป็นผู้ที่เห็นประโยชน์ เพราะฉะนั้น ทุกอย่างที่เกิดแล้วเป็นจริงเนี่ยค่ะ ไม่มีใครปฏิเสธเลย แต่ต้องรู้ตามความเป็นจริงว่าไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวตน และก็เป็นธรรมทั้งหมด

...กราบอนุโมทนาท่านอาจารย์ ด้วยค่ะ...

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาคุณสารธรรมค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
chaiyut
วันที่ 1 มี.ค. 2554

ขอขอบพระคุณและขออนุโมทนาพี่เมตตาด้วยครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
จักรกฤษณ์
วันที่ 1 มี.ค. 2554

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
khampan.a
วันที่ 1 มี.ค. 2554

"มีหนทางที่จะขึ้นจากเหว (เหวลึก คือ อวิชชา) แต่ไม่ใช่หนทางที่ง่าย และไม่ใช่หนทางที่เร็ว" ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
pamali
วันที่ 2 มี.ค. 2554

ขอนอบน้อมพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบอนุโมทนาท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
prakaimuk.k
วันที่ 2 มี.ค. 2554

..... แต่ว่าเราเป็นผู้ที่เห็นประโยชน์ เพราะฉะนั้น ทุกอย่างที่เกิดแล้วเป็นจริงเนี่ยค่ะ ไม่มีใครปฏิเสธเลย แต่ต้องรู้ตามความเป็นจริงว่าไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวตน และก็เป็นธรรมทั้งหมด....

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
ที่พึ่งที่ระลึก
วันที่ 2 มี.ค. 2554
อนุโมทนาครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
พงศ์ศิริ
วันที่ 3 มี.ค. 2554

เพื่อนคนหนึ่งเคยติดตามไปฟังธรรมที่ท่านอาจารย์แสดงเกือบทุกที่ บัดนี้ห่างหายไปนานมาก เบื้องต้นที่สอบถามเจ้าตัว ก็ทราบว่า เนื่องมาจากเรื่องความรักที่ไม่สมปรารถนา เกิดทุกข์ทรมาน จากนั้นก็ไม่ได้พบเห็นเธอผู้นั้นอีกเลย ไม่ทราบว่ายังฟังธรรมอยู่หรือเปล่า เราเอง ทุกครั้งที่เกิดกิเลสร้ายแรงในใจ จะคิดแต่ว่าต้องไปฟังธรรมที่มูลนิธิ ไปพบหน้าท่านอาจารย์ แม้ไม่หายในทันที แต่เหมือนมีบางสิ่งกระซิบว่า ฟังธรรม พิจารณาให้แยบคายเถิด วันหนึ่งจะพ้นสภาพที่เรียกกว่าเจ็บปวดนั้นได้ อย่างนี้เรียกว่ามีธรรมเป็นเกาะน่าจะได้นะคะ ดังนั้นแม้บางโอกาสจะเบื่อเพราะไม่ได้พิจารณาให้แยบคาย แต่ต้องฟังให้ซึมลึกถึงเยื่อกระดูกให้ได้

กราบที่เท้าท่านอาจารย์สุจินต์ ทุกวัน....

กราบละอองธุลีพระบาทสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกเวลา..

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
มกร
วันที่ 4 มี.ค. 2554

ขอบพระคุณและกราบอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
bsomsuda
วันที่ 7 มี.ค. 2554

"...จนกว่าเมื่อไรเป็นธรรมทั้งหมดนะคะ เมื่อนั้นก็คือว่า ถึงการที่สำเร็จกิจทั้งหลาย ไม่ต้องมีกิจใดๆ ที่จะต้องทำอีกแล้ว..."

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
ไรท์แจกแล้วไง
วันที่ 23 มี.ค. 2554

ถ้าพิจารณาดีๆ จะเห็นว่า ที่เบื่อโดยมากเพราะอยากไปทำอย่างอื่นใช่ไหมครับ บางทีอาจ ไม่อยากฟัง ก็เพราะแค่อยากนั่งเฉยๆ ด้วยความขี้เกียจ สรุปคือเพราะกิเลส

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
ธนฤทธิ์
วันที่ 3 เม.ย. 2554
กราบขอบคุณท่านอาจาร์ยและขออนุโมทนากับทุกๆ ท่านที่มีจิตกุศลครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
homenumber5
วันที่ 3 เม.ย. 2554

สำหรับ คนเบื่อฟังธัมมะ ค่ะ เบื่อฟังธัมมะ เพราะ มีอกุศลอยู่ จึงต้องฝืน ให้กุศลชนะด้วยการฟังธัมมะให้ยิ่งมากยิ่งลึกซึ้ง เพื่อกุศลชนะอกุศลนะคะ เหมือนเวลาใกล้สอบ เราง่วง ต้องทน ทนอ่านหนังสือ จนสอบได้ มีงานทำ ก็ทำสำเร็จ เพราะเห็นประโยชน์ ของสิ่งที่กระทำ คือเริ่มจะเห็นโทษของอกุศล คือ ความเบื่อหน่ายเกียจคร้าน หลงไปว่าไปเที่ยวดีกว่า สรุปคือต้องทนฟัง ทนๆ ๆ ๆ และฟังบ่อยๆ ๆ ๆ ทำความมเข้าใจ นะคะ

อนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
orawan.c
วันที่ 6 เม.ย. 2554

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
chatchai.k
วันที่ 26 พ.ค. 2564

ขออนุโมทนาครับ 

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ