ให้พิจารณาตนเองวันละ ๓ ครั้ง (๓)

 
pirmsombat
วันที่  24 ม.ค. 2554
หมายเลข  17777
อ่าน  1,214

ข้อความบางตอนจากการบรรยายธรรมโดยท่านอาจารย์ สุจินต์ บริหารวนเขตต์

ท่านอาจารย์   นี่สำหรับปกติของผู้ที่ว่ายากและมีกิเลสมาก แต่สำหรับท่านที่เป็นผู้เข้าใจหนทางข้อประพฤติปฏิบัติแล้ว จะสังเกตได้ว่า ไม่ต้องรออย่างนี้ใช่ไหมคะ ขณะใดที่สภาพธรรมกำลังปรากฏ ไม่ว่าอกุศลประเภทใดจะเกิด สติก็สามารถจะระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมในขณะนั้นได้ทันที นั่นก็เป็นปัญญาอีกระดับหนึ่งซึ่งเข้าใจหนทางที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรม แล้วก็ศึกษาลักษณะของสภาพธรรม เพราะฉะนั้นแต่ละท่านก็พิจารณาตนเอง หลังจากที่ได้ฟังพระสูตรนั้นแล้ว ท่านพิจารณาบ้างหรือเปล่า หรือว่าวันละ ๓ ครั้ง หรือว่าเพียงวันละ ๒ ครั้ง หรือว่าหลายวันครั้งหนึ่ง แต่ถัาเป็นผู้มีปกติอบรมเจริญสติปัฏฐาน ก็ไม่ต้องห่วง เพราะว่าท่านเข้าใจแล้วว่า ทันทีที่อกุศลจิตเกิด ไม่ต้องรอจนกระทั่งถึงเวลาที่จะพิจารณา แต่เมื่ออกุศลจิตเกิด สติสัมปชัญญะสามารถที่จะระลึก ได้ทันทีในขณะนั้นนั่นก็เป็นการเริ่มต้น เป็นการอบรมเจริญสติปัฏฐาน แม้ว่าขณะนั้นจะไม่รู้ว่า เป็นนามธรรม เป็นรูปธรรม ซึ่งไม่ใช่ตัวตน เพียงรู้ลักษณะของสภาพอกุศล ด้วยสติสัมปชัญญะในขณะนั้นตามความเป็นจริง ขณะนั้นเป็นสติสัมปชัญญะขั้นหนึ่ง

ตามข้อความในพระสูตรที่ว่า

หากพิจารณาอยู่ รู้อย่างนี้ว่า เราเป็นผู้มีอกุศลแม้นั้นจริง ควรพยายามเพื่อที่จะละอกุศลธรรมอันชั่วช้านั้นเสีย หากพิจารณารู้อย่างนี้ว่า เราเป็นผู้ไม่มีอกุศลนั้นๆ ภิกษุนั้นพึงอยู่ด้วยปีติและปราโมทย์นั้นทีเดียว หมั่นศึกษาทั้งกลางวันกลางคืนในกุศลธรรมทั้งหลาย ก็คือศึกษาลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามปกตินั่นเอง ก็แล้วแต่ว่าในวันหนึ่งๆ สติสัมปชัญญะขั้นใดจะเกิด ท่านเพียงระลึกว่า วันนั้นมีอกุศลอย่างนั้นๆ ที่ได้กระทำไปแล้ว ระลึกได้ หรือว่าในขณะนั้น ไม่ว่าจะเป็นสภาพใด สติก็ระลึกได้ทันที

มีข้อสงสัยในเรื่องนี้ไหมคะ ความละเอียดของการพิจารณาสภาพธรรม สำหรับผู้ที่อบรมเจริญสติปัฏฐาน จะต้องมีความละเอียดที่จะพิจารณารู้ว่าต้องการผล ของการอบรมเจริญสติปัฏฐานหรือเปล่า เพราะว่ามีบางท่านซึ่งพยายามอย่างมาก เพียรอย่างมาก เพราะคิดว่าจะเป็นเหตุให้ผลเกิดขึ้นเร็ว แต่ผลปรากฏก็คือว่า เหนื่อย ก็ต้องเลิก เพราะว่าไม่สามารถที่จะเร่งรัดผลของการเจริญสติปัฏฐานได้ เพราะว่าเป็นการระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมตามปกติจริงๆ การที่จะรู้สภาพธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตาก็คือ รู้สภาพธรรมที่ปรากฏ ตามปกติในชีวิตประจำวัน ถ้าเกิดมีความหวัง มีความเพียร หรือมีความต้องการโดยรวดเร็ว จะทำให้กระทำอย่างอื่นด้วยความหวังผลนั้น


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
chaiyut
วันที่ 25 ม.ค. 2554

"ไม่สามารถที่จะเร่งรัดผลของการเจริญสติปัฏฐานได้ เพราะว่าเป็นการระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมตามปกติจริงๆ "

ขอขอบพระคุณและขออนุโมทนาคุณหมอครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
pirmsombat
วันที่ 25 ม.ค. 2554

ขอบคุณ คุณ chaiyut มากและขออนุโมทนาครับ

คุณมีอะไรดีๆ เสมอเลย ผมชอบครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
จักรกฤษณ์
วันที่ 25 ม.ค. 2554

จะต้องมีความละเอียดที่จะพิจารณารู้ว่า ต้องการผลของการอบรมเจริญสติปัฏฐานหรือเปล่า เพราะว่ามีบางท่านซึ่งพยายามอย่างมาก เพียรอย่างมาก เพราะคิดว่าจะเป็นเหตุให้ผลเกิดขึ้นเร็ว แต่ผลปรากฏก็คือว่า เหนื่อย ก็ต้องเลิก

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
bsomsuda
วันที่ 25 ม.ค. 2554

"แต่เมื่ออกุศลจิตเกิด สติสัมปชัญญะสามารถที่จะระลึกได้ทันทีในขณะนั้น นั่นก็เป็นการเริ่มต้นเป็นการอบรมเจริญสติปัฏฐาน แม้ว่าขณะนั้นจะไม่รู้ว่าเป็นนามธรรม เป็นรูปธรรม ซึ่งไม่ใช่ตัวตน เพียงรู้ลักษณะของสภาพอกุศลด้วยสติสัมปชัญญะในขณะนั้นตามความเป็นจริง ขณะนั้นเป็นสติสัมปชัญญะขั้นหนึ่ง"

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
pirmsombat
วันที่ 27 ม.ค. 2554

ขอบคุณและอนุโมทนาทุกท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
คุณ
วันที่ 27 ม.ค. 2554

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
pamali
วันที่ 21 พ.ย. 2555

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
chatchai.k
วันที่ 15 ม.ค. 2564

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ