อวิชชาในปฏิจจสมุปบาท

 
จักรกฤษณ์
วันที่  22 ม.ค. 2554
หมายเลข  17771
อ่าน  1,829

ขออนุญาตเรียนถามท่านอาจารย์วิทยากรว่า

อวิชชาในปฏิจจสมุปบาทนั้น มีการ เกิด-ดับ อยู่ตลอดเวลาด้วยหรือไม่ครับ

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
chaiyut
วันที่ 25 ม.ค. 2554

ผมขออนุญาติร่วมสนทนาครับ (แต่ไม่ใช่ในฐานะท่านอาจารย์วิทยากรนะครับ)

ปฏิจจสมุปบาท คือ ธรรมฝ่ายวัฏฏะที่อาศัยกันและกันเกิดขึ้นเป็นไป ตั้งต้นด้วยอวิชชา คือ ความไม่รู้สภาพธรรมตามเป็นจริง แต่อวิชชาที่กล่าวถึงโดยนัยนี้เป็นอกุศลระดับใด ขณะไหน ก็ต้องสอดคล้องกับนัยของพระอภิธรรมด้วยเช่นกันใช่ไหมครับ ถ้าเป็นอวิชชานุสัย ย่อมนอนเนื่องอยู่ในจิตของผู้ที่ยังมีกิเลส คือ มี แต่ไม่ปรากฏอาการไม่เกิดขึ้น แต่เป็นเชื้อให้อกุศลในระดับกลางและระดับหยาบเกิดได้ ซึ่งถ้าเป็นอวิชชาที่เกิดขึ้น นั่นหมายถึงว่าอวิชชาขณะนั้น ไม่ใช่ระดับอนุสัย หยาบกว่าอนุสัย เมื่อเกิดขึ้นและดับไป ย่อมไม่ได้เกิดดับอยู่ตลอดเวลา เพราะเหตุว่าอวิชชาเกิดกับอกุศลจิตเท่านั้น อวิชชาไม่เกิดกับจิตประเภทอื่นเลย จิตเห็น ไม่ใช่อกุศลจิต อวิชชาจึงเกิดดับตลอดเวลาไม่ได้ครับ แต่จิตเห็นที่เกิดได้ เพราะเป็นผลของกุศลกรรม หรือ อกุศล-กรรม ซึ่งเนื่องมาจาก อวิชชาที่ยังไม่ได้ดับ อวิชชาในปฏิจสมุปบาท จึงเป็นปัจจัยให้เกิดอภิสังขาร คือ เจตนาฝ่ายกุศล หรือ เจตนาฝ่ายอกุศล ซึ่งจะเป็นปัจจัยให้ธรรมฝ่ายเกิด เกิดขึ้นเป็นไปในสังสารวัฏฏ์ต่อไป ไม่สิ้นสุด ตราบใดที่ยังไม่ได้ดับอวิชชาครับ (แต่ปฏิจสมุปบาทยากมากนะครับ ...เราจะไม่หมดความสงสัยเลย ถ้าไม่รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงในขณะนี้ จนถึงขั้นที่ดับกิเลสถึงความเป็นพระโสดาบัน)

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
จักรกฤษณ์
วันที่ 25 ม.ค. 2554

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาคุณ Chaiyut มากครับที่กรุณาอธิบายในรายละเอียด

สรุปได้ว่า หากอวิชชา เป็น อนุสัย ก็จะมีลักษณะที่นอนเนื่องอยู่ในจิตแต่ละดวงที่เกิดดับอยู่ ไม่ว่าจะเป็นอกุศลจิต และกุศลจิต ของผู้ที่ยังไม่อาจดับอวิชชาได้ (ตั้งแต่ปุถุชน ถึง พระอนาคามี)

แต่หากเป็นอวิชชาซึ่งหมายถึงโมหะมูลจิต ซึ่งอยู่ในขั้นกลาง และหยาบ ก็จะเกิดขึ้นพร้อมอกุศลจิตและดับไปพร้อมกัน แต่มิได้เกิดขึ้นตลอดเวลา

อวิชชาทั้งสองประเภทนี้ จัดได้ว่าเป็นอวิชชาซึ่งอยู่ในวงจรปฏิจจสมุปบาท กล่าวคือ เป็นเหตุให้เกิดสังขารอันหมายถึง อภิสังขาร ซึ่งเป็นไปในอกุศล กุศล และอรูป ได้เช่นกัน

ไม่ทราบว่าถูกต้องหรือไม่ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
jipoam
วันที่ 25 ม.ค. 2554

"จิตเห็น ไม่ใช่อกุศลจิต อวิชชาจึงเกิดดับตลอดเวลาไม่ได้ครับแต่จิตเห็นที่เกิดได้ เพราะเป็นผลของกุศลกรรม หรือ อกุศลกรรมซึ่งเนื่องมาจาก อวิชชาที่ยังไม่ได้ดับ"

__/l___ สาธุ สาธุ อธิบายแจ่มกระจ่างแท้

ขออนุโมทนาด้วยคนขอรับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
chaiyut
วันที่ 26 ม.ค. 2554

เรียนคุณจักรกฤษณ์ครับ

เพราะฉะนั้น หนทางหลุดพ้นที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ ทรงแสดง จึงเป็นธรรมฝ่ายดับโดยตลอด จนกว่าปัญญาจะดับ และสำรอกอวิชชาออกทั้งหมด ถึงความเป็นพระอรหันต์ ซึ่งถ้าไม่ได้ดับอวิชชาที่เป็นกิเลสวัฏฏ์ตราบใด อวิชชาย่อมเป็นปัจจัยให้เกิดกุศลกรรม หรือ อกุศลกรรมซึ่งเป็นกัมมวัฏฏ์ เมื่อกัมมวัฏฏ์มี ย่อมเป็นปัจจัยให้วิปากวัฏฏ์มี เมื่อได้รับผลของกรรม และอวิชชายังมี ก็จะเป็นปัจจัยให้อภิสังขารมี วนเวียนอยู่อย่างนี้ต่อไปในสังสารวัฏฏ์ครับ ความละเอียดของปฏิจจสมุปบาทนั้นลึกซึ้งมากเราคงจะค่อยๆ เข้าใจได้ในขั้นฟัง และศึกษาตามพยัญชนะ แต่ไม่สามารถจะเข้าใจแจ่มแจ้งชัดเจนได้ทั้งหมด จนกว่าความรู้ในสภาพธรรมที่มีจริงในขณะนี้ จะมั่นคงเพิ่มขึ้นครับ เป็นทางเดียวที่ปัญญาของเรา จะเห็นถูกว่าสิ่งที่ทรงแสดงไว้ เป็นจริง ตรงตามนั้น เพราะความจริงแล้ว ปฏิจจสมุปบาทที่ทรงแสดง ก็หมายถึง ความเป็นไปของสภาพธรรมที่อาศัยกันและกันเกิดขึ้นในขณะนี้นี่เอง แต่ละสภาพธรรมจะเนื่องกันโดยกาลไหน ปัจจัยอะไร ก็ขึ้นอยู่กับความเป็นไปของสภาพธรรมนั้นๆ ซึ่งทั้งหมดเป็นสิ่งที่ควรรู้ถูกต้องว่า เป็นธรรม ไม่ใช่เรา มีจริง และเป็นอนัตตาครับ

สำหรับรายละเอียดการศึกษาอรรถกถาปฏิจจสมุปบาท อยู่หน้าที่ ๔๗๕ นะครับ

ขอเชิญคลิกอ่านที่นี่

[เล่มที่ 77] อ่าน...พระไตรปิฏกและอรรถกถาฉบับมหามกุฏ เล่ม ๗๗

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
จักรกฤษณ์
วันที่ 26 ม.ค. 2554

ขอบพระคุณ คุณ Chaiyut มากและขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
คุณ
วันที่ 28 ม.ค. 2554

ขอขอบพระคุณและอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
เซจาน้อย
วันที่ 28 ม.ค. 2554
ขออนุโมทนาครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
chatchai.k
วันที่ 15 ม.ค. 2564

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ