ใจเป็นหัวหน้า

 
opanayigo
วันที่  7 ต.ค. 2553
หมายเลข  17318
อ่าน  2,883

ความสุขย่อมไปตามเขา ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้า มีใจเป็นใหญ่ สำเร็จแล้วด้วยใจ ถ้าบุคคลมีใจผ่องใสแล้ว พูดอยู่ก็ดี ทำอยู่ก็ดี ความสุขย่อมไปตามเขา เพราะเหตุนั้น เหมือนเงาไปตามตัว ฉะนั้น. ....จาก ธรรมเตือนใจ....... ^_______^ ขอให้มีใจเป็นสุข เป็นปกติสุข ในชีวิตประจำวันค่ะ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
chaiyut
วันที่ 8 ต.ค. 2553

ขณะที่เข้าใจธรรมที่ฟังมากขึ้น อานิสงส์จากความเข้าใจธรรมย่อมเกิดตามเหตุปัจจัย ช่วยบรรเทาทุกข์จากกิเลสให้ค่อยๆ น้อยลง แต่ก็ยังไม่หมดความเห็นผิดว่าเป็นเรา จนกว่าสติ-ปัฏฐานจะเกิดระลึกศึกษาลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏตามความเป็นจริงด้วยความเป็นอนัตตา อบรมไปเรื่อยๆ อีกมาก และอีกนานแสนนาน จนกว่าจะดับทิฏฐานุสัย บรรลุเป็นพระโสดาบัน จึงจะหมดความเห็นผิดว่าเป็นเราครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
paderm
วันที่ 8 ต.ค. 2553

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

"ธรรมทั้งหลาย มีใจเป็นหัวหน้า มีใจเป็นใหญ่ สำเร็จแล้วด้วยใจ ถ้าบุคคลมีใจผ่องใสแล้ว พูดอยู่ก็ดี ทำอยู่ก็ดี ความสุขย่อมไปตามเขา เพราะเหตุนั้น เหมือนเงาไปตามตัว

ฉะนั้น

ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้า มีใจเป็นใหญ่ ใจในที่นี้หมายถึงจิต จิตเป็นใหญ่เป็นหัวหน้า เมื่อเจตสิกจะเกิดขึ้น จิตก็ต้องเกิดขึ้นด้วย แต่แม้เจตสิกบางประเภทจะไม่เกิด จิตก็เกิดขึ้นได้สำเร็จแล้วด้วยใจ...ไม่ว่าจะทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่เป็นฝ่ายอกุศล หรือ กุศลทั้งทางกาย วาจาและใจ ก็ต้องสำเร็จแล้วด้วยใจคือมีจิตเกิดขึ้นเป็นกุศลจิต อกุศลจิต กาย วาจาที่แสดงออกมา ถ้าปราศจากจิตแล้วก็ไม่สามารถทำกิจต่างๆ ทางกายและวาจาได้เลย เช่น จะให้ทาน ถ้าจิตไม่เกิดขึ้นก็ให้ทานไมได้ เป็นต้นเพราะฉะนั้นสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นจึงสำเร็จแล้ว ด้วยใจด้วยประการฉะนี้ ถ้าบุคคลมีใจผ่องใสแล้ว พูดอยู่ก็ดี ทำอยู่ก็ดี ผ่องใสด้วยกุศลจิต พูดก็ย่อม พูดในวจีสุจริต 4 มีการไม่พูดปด พูดคำจริง เป็นต้น ทำอยู่ก็ดีคือทำทางกายที่เป็นกายสุจริต 3 มีการงดเว้นจากฆ่าสัตว์ เป็นต้น และแม้จะไม่พูด ไม่แสดงออกทางกายและวาจา ใจก็ย่อมเป็นมโนสุจริต เป็นไปในกุศลธรรม มีความเมตตา เป็นต้น ความสุขย่อมไปตามเขา เหมือนเงาไปตามตัวฉะนั้น เพราะกุศลที่ได้ทำไว้ทั้งทางกาย วาจาและใจ ผลของกุศลกรรมย่อมนำความสุขมาให้กับบุคคลผู้ทำนั้น ทั้งโลกนี้ และโลกหน้า เหมือนกับเงาที่ย่อมติดตามตัวไปตลอดฉันใด กุศลที่ทำไว้ก็จะติดตามไปให้ผลกับบุคคลนั้นเมื่อเหตุปัจจัยพร้อม

แต่มีข้อคิดอยู่ว่า อกุศลกรรมที่ทำไว้ก็จะติดตามเขาไปเหมือนเงาติดตามตัวฉันนั้นเหมือนกัน ผู้ที่พิจารณาด้วยความแยบคายแล้วจึงไม่ประมาทในกุศลทุกๆ ประการ แม้เล็กน้อยนิดนึงก็ไม่ประมาท ฉันใด ก็ไม่ประมาทในการที่จะไม่ทำอกุศลธรรมแม้เล็กน้อยนิดหน่อยฉันนั้น แต่ธรรมทั้งหลายก็เป็นอนัตตา เพราะฉะนั้นสะสมเหตุคือฟังพระธรรม เพื่อความเจริญขึ้นของกุศลธรรม มิใช่อย่างอื่นเลย ขออนุโมทนาทุกท่านครับ

อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
khampan.a
วันที่ 8 ต.ค. 2553

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทุกขณะของชีวิต ไม่พ้นไปจากจิต และ เจตสิกเลย จะเป็นสุขหรือเป็นทุกข์ ก็ไม่พ้นไปจากจิตและเจตสิก ทุกครั้งที่จิตเกิดขึ้นจะต้องมีเจตสิกเกิดร่วมด้วยทุกครั้ง ตามควรแก่ประเภทของจิตนั้นๆ นี้คือความจริง เป็นความจริงที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงไว้เพื่อให้ผู้ที่เป็นสาวก ฟัง ศึกษาเพื่อเข้าใจตามความเป็นจริง จิตและเจตสิกเป็นสภาพธรรมที่มีจริง เกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัย แล้วก็ดับไป ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน

ชีวิตที่ดำเนินไปในแต่ละวัน สำหรับบุคคลผู้ที่ยังมีกิเลสอยู่นั้น ถึงแม้จะมีปัจจัยเครื่องอาศัยในชีวิตประจำวันพร้อมทุกอย่างที่จะทำให้ชีวิตดำเนินไปอย่างสะดวกสบายไม่เดือดร้อน ก็ตาม แต่ก็ไม่ได้เป็นผู้ที่มีความสุขอย่างแท้จริง เพราะใจยังเต็มไปด้วยกิเลส เต็มไปด้วยกุศลประการต่างๆ มีกิเลสอยู่ครบ ยังไม่ได้ดับเลยแม้แต่อย่างเดียวซึ่งแสดงให้เห็นว่า กุศลธรรม เป็นที่พึ่งไม่ได้ ไม่ได้นำมาซึ่งความสุขที่แท้จริง มีแต่จะนำมาซึ่งทุกข์ ให้ผลเป็นทุกข์โดยส่วนเดียว ส่วนธรรมที่จะเป็นที่พึ่งได้จริงๆ คือ กุศลธรรม กุศลที่ได้สะสมไว้ ไม่สูญหายไปไหน และ ที่สำคัญ กุศล ให้ผลเป็นสุขไม่นำทุกข์มาให้เลยแม้แต่น้อย ดังนั้น การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงไว้ แล้วน้อมปฏิบัติตามพระธรรม ตามกำลังสติปัญญาของตนเอง ย่อมจะเป็นหนทางที่ทำให้พบกับความสุขที่แท้จริงได้ สามารถทำให้พ้นจากทุกข์โดยประการทั้งปวงได้ ในที่สุดแต่ก่อนอื่น ต้องเริ่มที่การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม สะสมความเข้าใจถูก เห็นถูก ตั้งแต่ในขณะนี้ ครับ. ...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
choonj
วันที่ 11 ต.ค. 2553

ธรรมทั้งหลาย มีใจเป็นหัวหน้า มีใจประเสริฐสุด สำเร็จแล้วด้วยใจ ถ้าบุคคลมีใจอันประทุษร้ายแล้ว กล่าวอยู่ก็ตาม กระทำอยู่ก็ตาม ทุกข์ย่อมไปตามบุคคลนั้น เพราะทุจริต ๓ อย่างนั้น เหมื่อนล้อหมุนไปตามรอยเท้าโคผู้ลากเกวียนไปอยู่ ฉะนั้น ...ฯ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ