เพิ่งเข้าใจ

 
kanchana.c
วันที่  11 ก.ค. 2553
หมายเลข  16708
อ่าน  1,318

เพิ่งเข้าใจ

ได้ฟังคำบรรยายของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์มาเป็นเวลา ๒๕ ปีแล้ว ทั้ง

จากการบรรยายที่ห้องประชุมตึกสภาการศึกษามหามกุฏราชวิทยาลัย วัดบวรนิเวศ จาก

สถานีวิทยุ นอกจากนั้นก็ยังติดตามไปฟังการบรรยายและสนทนาธรรมทั้งในและต่าง

ประเทศ แต่ยังไม่ใช่การฟังด้วยดีที่จะเกิดปัญญา (ขั้นการฟัง) เพราะส่วนใหญ่ไม่ได้ใส่

ใจฟังด้วยดี มักจะคิดไปเรื่องอื่นๆ แต่เมื่อได้รับมอบหมายจากท่านอาจารย์และอาจารย์

ดวงเดือน บารมีธรรม ให้พิมพ์คำบรรยาย “แนวทางเจริญวิปัสสนา” ของท่านอาจารย์

ทั้งหมด ซึ่งตอนแรกคุณน้าประมัย โชติวรรณ (ล่วงลับไปแล้ว) ได้พิมพ์ไว้ถึงครั้งที่

๓๘๐ (มีประมาณ ๒,๐๐๐ กว่า ครั้ง) นั้นพิมพ์จากต้นฉบับที่คุณป้าสงวน สุจริตกุลถอด

เทปไว้ด้วยลายมือที่สวยงาม อ่านง่าย ความจริงคุณป้าได้ถอดเทปไว้ทั้งหมด แต่มีผู้ขอ

ยืมไปแล้วติดตามไม่พบ ตอนหลังคุณป้าไปถอดเทปคำบรรยายที่มูลนิธิฯ ที่เป็นของ

ปัจจุบัน จึงไม่มีเวลาไปถอดเทปในครั้งที่หายไป ด้วยเหตุจำเป็นนี้ดิฉันจึงได้ถอดเทป

เอง คือ พิมพ์ไปพร้อมกับฟังด้วย จึงจำเป็นต้องฟังด้วยดี ปัญญาขั้นการฟังจึงเริ่มเกิด

มากกว่าฟังเฉยๆ มาก

ได้ยินคำว่า “ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน” มานับครั้ง

ไม่ถ้วน ได้ยินว่า “ทุกอย่างเป็นธรรม” ก็นับครั้งไม่ถ้วนเช่นเดียวกัน และข้อความที่

ท่านพระอัสชิแสดงธรรมกับท่านพระสารีบุตรเมื่อพบกันครั้งแรกว่า “ธรรมใดเกิดแต่เหตุ

พระตถาคตตรัสเหตุแห่งธรรมนั้น และความดับแห่งธรรมนั้น พระมหาสมณะมีปกติตรัส

อย่างนี้” เมื่อท่านพระสารีบุตรฟังแล้วก็ได้ดวงตาเห็นธรรม บรรลุเป็นพระโสดาบัน

บุคคล

เมื่อประมวลธรรมที่ได้ยินได้ฟังทั้งหมดแล้ว ก็เพิ่งเข้าใจว่า พระผู้มีพระภาคทรงแสดง

สภาพธรรมที่เป็นเหตุและสภาพธรรมที่เป็นผลของเหตุนั้นๆ ดังนั้นการศึกษาพระสูตร

ต่างๆ ในพระไตรปิฎกนั้น ทรงแสดงเรื่องของเหตุและผลของเหตุการณ์ต่างๆ ของ

บุคคลต่างๆ ที่เกิดขึ้นในครั้งอดีต

อย่างในวันนี้ (วันเสาร์ที่ ๑๐ ก.ค. ๕๓) มูลนิธิฯ นำอิฏฐสูตรมาสนทนา มีข้อความโดย

ย่อว่า สิ่งที่น่าปรารถนาของบุคคลทั้งหลายในโลกนี้มี ๑๐ ประการ เช่น โภคสมบัติ ซึ่ง

ต้องได้มาด้วยความขยันหมั่นเพียร วัณณะ คือ ผิวพรรณงาม ได้มาด้วยการประดับ

ตกแต่ง เป็นต้น

เมื่ออ่านพระสูตรจบ มีผู้ถามว่า พระสูตรนี้เหมือนสนับสนุนให้มีตัณหา เพราะแสดงวิธีที่

จะให้ได้สิ่งที่น่าปรารถนาต่างๆ

ท่านอาจารย์ตอบว่า พระผู้มีพระภาคแสดงธรรมตามความเป็นจริง ผู้ที่ไม่มีตัณหา คือ

พระอรหันต์ แต่สำหรับผู้ยังไม่ใช่พระอรหันต์ ก็ยังมีความปรารถนาในสิ่ง ๑๐ ประการ

เหล่านี้ เมื่อเป็นอย่างนั้น ก็ทรงแสดงเหตุว่า สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้จากเหตุต่างๆ ไม่ใช่

เกิดขึ้นมาลอยๆ โดยไม่มีเหตุ ทรงแสดงธรรมที่เป็นเหตุ และเมื่อมีเหตุที่สมควร สภาพ

ธรรมที่เป็นผลก็จะเกิดขึ้น

เราเพิ่งเข้าใจเร็วๆ นี้เองว่า ศึกษาธรรม ด้วยการฟัง การอ่าน ผิดมาโดยตลอด เดิมอ่าน

โดยมีเรา มีเขา เช่น อ่านเรื่องพระนางมัลลิกาทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า ทำไมผู้หญิง

บางคนเกิดมาไม่สวย พระผู้มีพระภาคตรัสว่า เพราะเป็นผู้มักโกรธ เราผู้เป็นคนอยาก

สวย ก็ตั้งใจอย่างมั่นคงว่า ต่อไปนี้จะไม่โกรธแล้ว ชาติหน้าจะได้สวย แต่ก็ไม่สำเร็จ

เพราะเมื่อความโกรธเกิดขึ้นก็ลืมหมด หรือพอนึกขึ้นได้ ก็คิดว่า ไม่สวยก็ได้ ขอโกรธ

ก่อน นอกจากโกรธแล้วก็ยังผูกโกรธไว้อีก

นี่เป็นการศึกษาโดยเอาเราเอาเขาไปใส่ในเรื่องนั้นๆ ลืมไปว่า ธรรมทั้งหลายเป็น

อนัตตา ทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย อย่างเราเป็นคนมักโกรธก็เพราะได้สะสม

ความโกรธ ความกลัวมามาก จะให้หมดไปเพราะความอยากสวย คงไม่ได้ ความอยาก

เป็นกิเลสเช่นกัน ไม่ใช่เหตุที่จะทำให้ความโกรธและกิเลสอื่นๆ หมดไปแน่นอน ต้องละ

ด้วยปัญญา คือ การรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง

แม้การศึกษาก็ผิดมาโดยตลอด แม้ท่านอาจารย์จะบรรยายไว้แล้วบ่อยๆ เนืองๆ แต่เมื่อ

ยังไม่ฟังด้วยดี ปัญญาขั้นฟังก็ไม่เป็นไปด้วยดี แล้วอย่างนี้จะให้ปัญญาขั้นพิจารณา ขั้น

ไตร่ตรองเกิดได้อย่างไร ไม่ต้องพูดถึงขั้นสติปัฏฐานหรอก แสนโกฏิกัปป์นั้นคงจะน้อยไป

ที่จะให้มีชีวิตอยู่ด้วยการระลึกศึกษารู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความ

เป็นจริง


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
govit2553
วันที่ 12 ก.ค. 2553

อนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
orawan.c
วันที่ 12 ก.ค. 2553

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
choonj
วันที่ 12 ก.ค. 2553

การฟังธรรมจนมีความเข้าใจว่า "เพิ่งจะเข้าใจ" ความรู้สึกต่อไปก็คือว่า ต้องเริ่มฟังใหม่หมดเลย เมื่อเริ่มฟังใหม่บนพื้นฐานของการเข้าใจไหม่ ก็จะเข้าใจได้ดีขึ้น
 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
ผิน
วันที่ 12 ก.ค. 2553

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
hadezz
วันที่ 12 ก.ค. 2553

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
Yongyod
วันที่ 12 ก.ค. 2553

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
aiatien
วันที่ 12 ก.ค. 2553

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
เมตตา
วันที่ 13 ก.ค. 2553

พระธรรมนั้นละเอียด ลึกซึ้ง ยากที่จะเข้าใจ....จึงต้องเป็นผู้ละเอียด พิจารณาไตร่ตรองให้ดี ฟังด้วยดีจะได้เกิดปัญญา ปัญญาเกิดจากการค่อยๆ อบรม ค่อยๆ มีขึ้น

เพราะความไม่รู้ยังมีอีกมาก กว่าที่จะค่อยๆ เข้าใจค่อยๆ รู้ขึ้นเพราะเห็นทีไรก็ปั้นน้ำเป็น

ตัวทุกที...โกรธทีไรก็เราโกรธทุกที.....อบรมความเข้าใจไปโดยไม่หวังจนกว่าโกรธเป็นธรรมะ ไม่ใช่เรา

กราบอนุโมทนาท่านอาจารย์ค่ะ

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาพี่แดงเป็นอย่างสูงค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
pamali
วันที่ 13 ก.ค. 2553
กราบอนุโมทนาท่านอาจารย์สุจินต์ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านค่ะ สาธุ
 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
J-Lamphun
วันที่ 13 ก.ค. 2553

เป็นความจริงที่ลึกซึ้งมาก ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
saifon.p
วันที่ 13 ก.ค. 2553
ทรงแสดงธรรมที่เป็นเหตุ และเมื่อมีเหตุที่สมควร สภาพธรรมที่เป็นผลก็จะเกิดขึ้น กราบอนุโมทนาอ.แดงค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
ประสาน
วันที่ 13 ก.ค. 2553

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
วิริยะ
วันที่ 14 ก.ค. 2553

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
รากไม้
วันที่ 15 ก.ค. 2553

เมื่อฟังธรรมให้มาก จนจำได้ นำมาทบทวนพิจารณาบ่อยๆ จนเกิดปัญญารู้ชัด ...ว่า ทุกๆ อย่างเป็นเพียงสภาพธรรมเท่านั้น ที่เกิดขึ้นแล้วก็ดับไปผ่านไปหมดไม่มีเหลือ ไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดเลยที่ตั้งมั่นอยู่ได้เลย

ทุกสิ่งที่มีคือเป็นเพียงสิ่งที่ถูกจิตเข้ารู้ ก็เกิดขึ้นมาเพียงเพื่อให้จิตเข้าไปรู้ เมื่อรู้แล้วจึงดับทันทีทันใด เมื่อดับแล้วจึงเกิดอีกสิ่งหนึ่งซึ่งเป็นสิ่งใหม่แทนที่ทันทีทันใด ...ทั้งหมดนี้ เป็นการระลึกรู้หรือตามรู้ ด้วยสติที่ตั้งมั่นอย่างต่อเนื่องกันไป จนเป็นปกติในชีวิตประจำวัน

การปรุงแต่งทุกอย่าง (เจตสิก) เกิดขึ้นที่ใจ (จิต) ...คำพูดของคนหนึ่งๆ นั้น ใจเราจะปรุงให้เป็น โกรธมากก็ได้ โกรธน้อยก็ได้ เฉยๆ ก็ได้ สงสารก็ได้ มีสาระก็ได้ ไม่มีสาระก็ได้ ...จิตปรุงทั้งนั้น ปรุงจากการสะสมของเรา ซึ่งการปรุงก็เป็นธรรมะอีกนั่นแหละ บังคับบัญชาไม่ได้เลย ต้องศึกษาพระธรรมจนเกิดปัญญามาขัดเกลาจิตใจเท่านั้น ไม่มีทางอื่นเลย ดังนั้นขณะที่สติเกิดร่วมกับปัญญาเพื่อดับความไม่ชอบหรือโทสะนั้น ก็เป็นธรรมชาติของจิตที่ถูกปรุงแต่งในทางที่ดีแล้วเท่านั้น อย่าเข้าใจผิดว่าเป็นเรา

การคิดว่าเรายังเป็นเรา ก็เป็นธรรมชาติของจิตที่ยังไม่ได้ขัดเกลา ยังไม่ได้อบรมในทางที่ดีนั่นเอง , และไม่ใช่เราที่ไปทำการอบรมจิต เพราะมันเป็นการที่ปัญญาำทำหน้าที่ พาเราไปฟังธรรม ไม่ใช่เราพาเราไปฟังธรรม , ปัญญาอบรมจิต ไม่ใช่เราไปอบรมจิต , จิตที่ถูกอบรมดีแล้ว ย่อมรู้ว่า การที่จิตถูกอบรมไปแล้วนั้น เป็นปัญญาทำหน้าที่เสร็จไปแล้ว เมื่อปัญญาทำหน้าที่อบรมเสร็จแล้วปัญญาก็ดับไป ...ไม่ใช่มีความเป็นตัวตนของเราเข้าไปยุ่งเกี่ยวในขั้นตอนไหนๆ เลย แม้สักขณะเดียว มันเป็นสภาพธรรมแต่ละอย่างทำกิจสืบเนื่องไป จนกว่าเราจะตาย การรับรู้ในภพนี้จึงดับหมดทุกทางพร้อมกัน

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
pornthip.d
วันที่ 20 ก.ค. 2553

ขออนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ