กลัวว่าง

 
kanchana.c
วันที่  9 ก.ค. 2553
หมายเลข  16679
อ่าน  1,057

กลัวว่าง คงจะเห็นแล้วว่า อกุศลจิตประเภทโทสมูลจิตนั้นสะสมมามากมายขนาดไหน เมื่อไม่นานมานี้ กลัวตาย ตอนนี้กลัวว่าง เพราะเมื่อผู้หวังดี ทราบว่า จะลาออกก่อนเกษียณอายุราชการ ก็พากันเตือนว่า อย่าออกเลย มาทำงานดีกว่า ได้พบปะเพื่อนฝูง มีการสังสรรค์พูดคุย ออกไปอยู่บ้านเฉยๆ ว่างๆ ไม่มีอะไรทำ ก็จะเหงาเฉาตายก่อนวัยอันควร

มานึกดู คนเรานี่ก็ช่างแปลกแท้ๆ ตอนเรียนจบใหม่ๆ อายุยังน้อย ยังมีเรี่ยวแรงทำงาน เวลาหางานทำก็พยายามหางานที่ไม่หนัก มีเวลาว่างมากๆ แต่พอเกษียณอายุหมดเวลาทำงาน เรี่ยวแรงก็หดหาย ควรถึงเวลาพักผ่อน ก็กลับอยากจะมีงานทำ เพราะกลัวว่าง ซึ่งตามความเป็นจริงแล้ว ไม่มีขณะไหนในชีวิตทั้งในชาตินี้ ในอดีตอนันตชาติ และรวมไปถึงอนาคตด้วยที่จะว่างจากสภาพธรรมที่เกิดปรากฏให้ระลึกศึกษา แต่เมื่อยังมืดบอด ก็ปล่อยให้ขณะผ่านไปด้วยกิเลส คือ ความรักบ้าง ความกลัวบ้าง ความชังบ้าง โดยมีความไม่รู้เป็นสาเหตุ ดังนั้นจึงต้องอบรมให้เกิดปัญญาขั้นการฟัง การพิจารณาให้เข้าใจจริงๆ ก่อนว่า ทุกขณะมีสภาพธรรมเกิดดับปรากฏสืบต่อให้รู้จัก แต่ก็ยังไม่รู้จักสักที เมื่อสภาพธรรมปรากฏก็คิดนึกเป็นเรื่องราว สัตว์ บุคคล ไม่เคยตรึกถึงลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏที่ควรรู้จักว่าเป็นแต่เพียงสภาพธรรมที่เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน เลยสักขณะเดียว ดังนั้นตอนนี้คงต้องมีชีวิตอยู่เพื่อระลึกศึกษาลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง ด้วยการฟังธรรม การพิจารณาธรรม การไตร่ตรองธรรมที่ได้ยินได้ฟัง เพื่อให้เข้าใจจริงๆ จนกว่าจะมีชีวิตอยู่ด้วยการระลึกศึกษาลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ เป็นปัญญาบารมี ที่จะทำถึงฝั่ง คือ พระนิพพาน สิ้นสุดการเวียนว่ายในห้วงน้ำใหญ่ คือ สังสารวัฏฏ์ อันไม่มีเบื้องต้นและเบื้องปลายนี้

ข้อความทั้งหมดนี้คิดเองไม่ได้ แต่ประมวลมาจากคำบรรยายของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่ท่านได้อุทิศตนเพื่อศึกษาพระธรรมจากพระไตรปิฎกและอรรถกถา ที่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้และทรงแสดงไว้ และพระอริยสาวกได้นำสืบต่อกันมา ท่านอาจารย์ได้ประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมนั้นจนเข้าใจลึกซึ้ง สามารถบรรยายให้ผู้ฟังเกิดความเข้าใจตามได้ แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม (อาจจะเข้าใจมากก็ได้ แล้วแต่การสะสมของแต่ละท่าน)

ขอกราบขอบพระคุณท่านอาจารย์เป็นอย่างสูงที่ท่านเป็นผู้มีพระคุณที่สุดในชีวิตนี้ที่นำแสงสว่าง คือ พระธรรม มาส่องให้เห็นได้บ้างในความมืดมิดเช่นนี้


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
รากไม้
วันที่ 9 ก.ค. 2553

ขออนุโมทนา ในฉันทะที่จะศึกษาพระธรรมอย่างเต็มกำลัง เพื่อทำพระนิพพานให้แจ้ง ความเห็นถูกเช่นนี้ ต้องเกิดจากการสะสมที่มากและยาวนานพอสมควรแล้ว ของคุณ Kanchana จึงเกิดความคิดเช่นนี้ จึงขออนุโมทนาอีกครั้ง ด้วยคำสอนของท่าน อ.สุจินต์ ที่ได้กรุณาสงเคราะห์แก่พวกเรา ให้เกิดดวงตาเห็นธรรม เห็นประโยชน์ของธรรมว่ามีผลในทางที่ดีต่อชีวิตอย่างมหาศาล ...พระคุณนี้ใหญ่หลวงนักจริงๆ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
bsomsuda
วันที่ 9 ก.ค. 2553

...แต่เมื่อยังมืดบอด ก็ปล่อยให้ขณะผ่านไปด้วยกิเลส คือ ความรักบ้าง ความกลัวบ้าง ความชังบ้าง โดยมีความไม่รู้เป็นสาเหตุ ดังนั้นจึงต้องอบรมให้เกิดปัญญาขั้นการฟัง การพิจารณาให้เข้าใจจริงๆ ก่อนว่า

ทุกขณะมีสภาพธรรมเกิดดับปรากฏสืบต่อให้รู้จัก แต่ก็ยังไม่รู้จักสักที...

ขอบพระคุณค่ะพี่แดง และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
วิวัฏฏ์
วันที่ 9 ก.ค. 2553

ชีวิตของผู้ล่วงกาลผ่านวัยผู้ได้สดับพระธรรม เป็นชีวิตที่มีคุณค่า และน่าสนใจเป็นอย่างยิ่งเพราะเหตุว่าท่านเหล่านั้นได้ผ่านเหตุการณ์ความยากลำบากในช่วงเวลาของ

ท่านเพื่อที่จะรักษา และดำเนินชีวิตให้อยู่รอดโดยไม่ปราศจากการฟังธรรม นับว่าเป็น

สิ่งที่กระทำได้โดยยาก คนรุ่นหลังผู้ซึ่งกำลังล่วงกาลผ่านวัย ก็กำลังเผชิญความยากลำบากในการดำเนินชีวิตไม่แพ้กัน เป็นความยากลำบากในการดำเนินชีวิตให้อยู่รอด

ในยุคสมัยที่สัตบุรุษอ่อนกำลัง อสัตบุรุษรุ่งเรือง การมีโอกาสได้ฟังพระสัทธรรม จึง

เป็นสิ่งประเสริฐ เป็นมงคล ที่หาได้ยาก

ขอกราบท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ผู้มอบแสงสว่างแห่งปัญญา

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
เมตตา
วันที่ 9 ก.ค. 2553

ไม่มีสักขณะเดียวที่จะว่างจากสภาพธรรมที่เกิดปรากฏให้ระลึกศึกษา

ขณะที่กำลังฟังธรรมะอยู่ก็มีตัวธรรมะจริงๆ ให้เข้าใจได้

มีธรรมะปรากฏอยู่ตลอดเวลา เหมือนรอให้รู้

ขอกราบอนุโมทนาท่านอาจารย์สุจินต์เป็นอย่างสูง...

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
ชีวิตคือขณะจิต
วันที่ 10 ก.ค. 2553
ชาติหน้าอีกไม่นาน ไม่เท่ากับชาตินี้ที่ผ่านมา สาละวนกับเวลานี้อยู่ทำไม
 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
ไตรสรณคมน์
วันที่ 10 ก.ค. 2553

เพราะเหตุนี้ พระผู้มีพระภาคฯจึงได้ตรัสไว้ว่า.....

"กัลยาณมิตรเป็นทั้งหมดของพรหมจรรย์"

ขออนุโมทนาทุกท่านที่ได้พบกัลยาณมิตรค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
orawan.c
วันที่ 12 ก.ค. 2553

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

จริงๆ แล้วไม่มีการว่าง เพราะจิตเกิดขึ้นทำกิจทุกขณะใน 12 กิจ

คือ ภวังค์ (ดำรงภพชาติ) เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส คิดนึก เป็นต้น

และจิตเกิดเป็น 1 ใน 4 ชาติ คือ กุศล อกุศล วิบาก หรือ กิริยา

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
saifon.p
วันที่ 13 ก.ค. 2553

กราบอนุโมทนาผู้ที่ไม่ว่างทุกท่านค่ะเกษียณแล้วได้ทำที่ชอบๆ แล้ว ยังทำประโยชน์ให้กับตนเอง และผู้อื่นได้มากขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนค่ะ มีความสุขมากขึ้น แม้นว่าจะมีสภาพธรรมให้ศึกษาแต่ก็เป็นผู้มีปกติหลงลืมสติอยู่เสมอ ยังรู้สึกว่าไม่ว่างสักวันเลยค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ