...ทนแล้วจะได้อะไร...

 
จักรกฤษณ์
วันที่  3 พ.ค. 2553
หมายเลข  16050
อ่าน  4,372

มีโฆษณายาแก้ท้องอืดชิ้นหนึ่ง

มีเพลงประกอบบางช่วงบางตอน

ว่า "...ทนแล้วจะได้อะไร...ทนแล้วจะได้อะไร...."

เมื่อคิดถึงสถานการณ์บ้านเมืองในขณะนี้แล้ว

จำเป็นต้องใช้ความอดทนมาก

แต่อาจมีคำถามว่า ..ทนแล้วจะได้อะไร....

ผมจำได้ว่ามีคำสอนที่มีคุณค่ายิ่งใน

หนังสือ บารมีในชีวิตประจำวันของท่านอาจารย์สุจินต์

ในบางตอนของเรื่อง ขันติบารมี ความว่า

"ขันติ คือ ความอดทน ความอดกลั้นต่ออกุศลจิตที่เกิด

อดกลั้นต่อโลภะ โทสะ มิฉะนั้นแล้วจะเผากิเลสไม่ได้

ถ้าสติสัมปชัญญะเกิด ขันติบารมีก็จะละเอียดขึ้น

ในวันหนึ่งๆ มีอกุศลเกิดมาก ทำให้ต้องมีความอดทน เช่น

ความอดทนที่มีอยู่ในชีวิตประจำวัน เป็น "อธิวาสนขันติ" คือ การอดทน

การยอมรับการอดกลั้นต่อภาวะแวดล้อมเกี่ยวกับที่อยู่อาศัย และสภาพธรรมทุกๆ ขณะ

เช่น อากาศที่เปลี่ยนแปลง ร้อนบ้าง หนาวบ้าง

ขณะนั้นถ้าสติสัมปชัญญะไม่เกิด เพียงแต่บอกว่าร้อนจัง ก็เป็นอกุศลจิตแล้ว

ฉะนั้น ถ้าเป็นผู้ที่สติสัมปัชัญญะละเอียด ก็จะรู้กายวาจาที่กระทำในขณะนั้น

ว่าขาดความอดทน หรือ มีความอดทนเพิ่มขึ้นต่อสิ่งแวดล้อม

ขันติบารมีนั้น ควรจะอบรมให้มีมากขึ้นในชีวิตประจำวัน

เพราะนอกจากจะอดทนต่อสภาพสิ่งแวดล้อมหรือที่อาศัย

ยังต้องอดทนต่อบุคคลซึ่งมีอุปนิสัยต่างๆ

บางคนเป็นคนที่ทำทุกสิ่งทุกอย่างเร็ว ก็ต้องอดทนต่อคนที่ทำอะไรช้า

หรือพบคนที่มีอุปนิสัยไม่เหมาะไม่ควร ก็จะต้องอดทนต่อความไม่ดี

ความเหมาะไม่ควร โดยไม่บ่นว่า แต่สติสัมปชัญญะจะระลึกได้ที่จะไม่วิจารณ์

ไม่ตำหนิ และคิดด้วยเมตตาที่จะสอน เกื้อกูล แนะนำในโอกาสหรือในกาลนั้น

ฉะนั้น ในวันหนึ่งๆ ควรอบรมขันติบารมีให้เจริญขึ้น....

....ถ้ามีใครทำให้เสียหาย ทำให้เดือนร้อน แทนที่จะโกรธ

ให้รู้ว่าเป็นการเพิ่มขันติบารมีให้สมบูรณ์ขึ้น"

ก็คงจะตอบคำถามที่ว่า

...ทนแล้วจะได้อะไร....

หรือ

ทนแล้วจะเป็นปัจจัยอะไร

ก็ตอบได้ว่า

ขันติบารมี นั้นเองครับ

"อนึ่ง ชื่อว่าความโกรธนี้

กระทำสิ่งไม่เป็นประโยชน์ได้ทุกอย่าง

ยังประโยชน์ทั้งปวงให้พินาศ

เป็นข้าศึกมีกำลัง

เมื่อมีขันติ ข้าศึกไรๆ ก็ไม่มี..."

(อรรถกถาขุททกนิกาย จริยาปิฎก ปกิณณกกถา)


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 4 พ.ค. 2553

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

ทนด้วยกุศลจิต ทนด้วยความเข้าใจ อดทนเพราะเห็นประโยชน์คือกุศลจิต ไม่มี

ทางที่จะแก้ความรุนแรงด้วยความรุนแรง เมื่อพื้นสกปรก จะใช้ผ้าสกปรกทำให้พื้น

สะอาดไม่ได้ พระธรรมของพระพุทธเจ้าจึงเป็นไปเพื่อไม่เบียดเบียน มีเมตตา อดทน

ด้วยกุศล ไม่มีอะไรสำคัญกว่าจิตของตนคือการรักษาจิต อาจจะเห็นว่าเหตุการณ์สำคัญ

มากในปัจจุบัน แต่อีกไม่นานก็ลืมหมดแล้ว เหมือนกับชาติที่แล้วที่เราลืมมาหมด ทั้งๆ ที่

ชาติที่แล้วอาจจะสำคัญผิดคิดว่ามีเรื่องที่สำคัญมากกว่านี้ ทุกอย่างก็คิดเท่านั้น เป็นเพียงสภาพธรรมอย่างหนึ่ง ประโยชน์จริงๆ ของชีวิตคือการอบรมปัญญาและรักษาจิตของตนเอง ขออนุโมทนา

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 470

[๘๗๔] มาตลีเทพบุตรทูลว่า ข้าแต่ท้าววาสวะ ข้าพระองค์เห็นโทษในความอดทนนี้แล เมื่อใด คนพาลย่อมสำคัญบุคคลนั้นว่า ผู้นี้ย่อมอดกลั้นต่อเราเพราะความกลัว เมื่อนั้น คนมีปัญญาทรามยิ่งข่มขี่ผู้นั้น เหมือนโคยิ่งข่มขี่โคตัวแพ้ที่หนีไป ฉะนั้น.

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
paderm
วันที่ 4 พ.ค. 2553

[๘๗๕] ท้าวสักกะตรัสตอบว่า บุคคลจงสำคัญเห็นว่า ผู้นี้อดกลั้นต่อเราเพราะความกลัวหรือหาไม่ก็ตามทีประโยชน์ทั้งหลายมีประโยชน์ของตนเป็นอย่างยิ่ง ประโยชน์ยิ่งกว่าขันติไม่มี ผู้ใดแลเป็นคนมีกำลังอดกลั้นต่อคนผู้ทุรพลไว้ได้ ความอดกลั้นของผู้นั้น บัณฑิต ทั้งหลายกล่าวว่าเป็นขันติอย่างยิ่ง คนทุรพลจำต้องอดทนอยู่เป็นนิตย์ บัณฑิตทั้งหลายกล่าวกำลังของผู้ซึ่งมีกำลังอย่างคนพาลว่ามิใช่กำลัง

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
paderm
วันที่ 4 พ.ค. 2553

ผู้ใดรู้ว่าผู้อื่นโกรธแล้ว เป็นผู้มีสติระงับไว้ได้ ผู้นั้นชื่อว่าประพฤติประโยชน์แก่ทั้ง

สองฝ่ายคือ ทั้งฝ่ายตนและคนอื่น คนที่ไม่ฉลาดในธรรม ย่อมสำคัญเห็นผู้รักษา

ประโยชน์ ของทั้งสองฝ่าย คือ ของตนและของคนอื่น ว่าเป็นคนโง่ ดังนี้. อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
ผิน
วันที่ 4 พ.ค. 2553

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
ups
วันที่ 4 พ.ค. 2553

สาธุ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
khampan.a
วันที่ 4 พ.ค. 2553

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ความอดทน (ขันติ) เป็นธรรมเผาบาป คือ อกุศลธรรม ความอดทน จึงเป็นธรรมที่ควรอบรมเจริญในชีวิตประจำวัน เพื่อความเจริญขึ้นแห่งกุศลธรรมทั้งหลาย ซึ่งจะเห็นได้ว่า บุคคลผู้เห็นประโยชน์ของความอดทน ย่อมจะไม่โกรธตอบ ไม่โต้ตอบ ไม่ว่าจะได้รับการกระทบกระทั่งจากบุคคลอื่นมากน้อยเพียงใด ก็ตาม เพราะเหตุว่า ถ้าโกรธไปแล้ว ตนเองเท่านั้นที่ทำร้ายตนเอง ไม่ใช่ผู้อื่นเลย เนื่องจากว่าเป็นอกุศลของตนเองเท่านั้นจริงๆ

ความอดทน ต้องอดทนได้ทุกสถานการณ์ กล่าวคือ อดทนต่อพฤติกรรมอันไม่เหมาะสมของบุคคลอื่น เพราะเหตุว่าแต่ละบุคคลสะสมมาต่างกัน ย่อมจะมีบ้างที่การกระทำ พฤติกรรมอาจจะไม่เป็นที่พอใจของผู้อื่นได้ หน้าที่ ที่สำคัญของตนเอง ก็คืออดทนต่ออกุศลของผู้อื่น ด้วยการไม่เป็นอกุศล นอกจากนั้น ยังจะต้องอดทนทั้งต่อผลของกุศล คือ เมื่อได้สิ่งที่น่าปรารถนา น่าพอใจ ก็อดทนได้ ไม่เพลิดเพลินมัวเมาด้วยอำนาจของโลภะ และอดทนต่อผลของอกุศล คือ เมื่อประสบกับสิ่งที่ไม่น่าปรารถนา ไม่น่าพอใจ ก็อดทนได้ ไม่หวั่นไหวไปด้วยอำนาจของโทสะ การที่จะเป็นผู้อดทนได้อย่างนี้ ต้องอาศัยการอบรมเจริญปัญญา ความเข้าใจสภาพธรรมตามความเป็นจริง ครับ ...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
ไตรสรณคมน์
วันที่ 5 พ.ค. 2553

อดทน คือ อดทนที่จะไม่ล่วงทุจริตทางกาย วาจาและใจค่ะ

ไม่ได้หมายความว่าให้ "ทน" โดยไม่ต้องทำอะไร

กิจที่สมควรทำก็ยังต้องทำอยู่

เพื่อออกจากความเสื่อม......มุ่งสู่ความเจริญต่อไปค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
pompom
วันที่ 6 พ.ค. 2553

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
jaran
วันที่ 6 พ.ค. 2553

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
wannee.s
วันที่ 6 พ.ค. 2553

อดทนประกอบด้วยปัญญาก็ได้ ไม่ประกอบด้วยปัญญาก็ได้ เช่น ขณะที่โกรธ

ขณะนั้นไม่อดทน ขณะนั้นไม่รู้ธรรมะ ขณะนั้นปัญญาไม่เกิด ฯลฯ ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
Komsan
วันที่ 7 พ.ค. 2553

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
hadezz
วันที่ 8 พ.ค. 2553

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
bsomsuda
วันที่ 10 พ.ค. 2553

....นอกจากนั้น ยังจะต้องอดทนทั้งต่อผลของกุศล คือ

มื่อได้สิ่งที่น่าปรารถนา น่าพอใจ ก็อดทนได้

ไม่เพลิดเพลินมัวเมาด้วยอำนาจของโลภะ

และอดทนต่อผลของอกุศล คือ

เมื่อประสบกับสิ่งที่ไม่น่าปรารถนา ไม่น่าพอใจ ก็อดทนได้

ไม่หวั่นไหวไปด้วยอำนาจของโทสะ....

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
เมตตา
วันที่ 11 พ.ค. 2553

บุคคลผู้เห็นประโยชน์ของความอดทน ย่อมจะไม่โกรธตอบ ไม่โต้ตอบ ไม่ว่าจะได้รับการกระทบกระทั่งจากบุคคลอื่นมากน้อยเพียงใด ก็ตาม เพราะเหตุว่า

ถ้าโกรธไปแล้ว ตนเองเท่านั้นที่ทำร้ายตนเอง ไม่ใช่ผู้อื่นเลย

เนื่องจากว่าเป็นอกุศลของตนเองเท่านั้นจริงๆ


....ขออนุโมทนาค่ะ....

เมื่อคิดถึงสถานการณ์บ้านเมืองในขณะนี้แล้ว

จำเป็นต้องใช้ความอดทนมาก

แต่อาจมีคำถามว่า ..ทนแล้วจะได้อะไร....

ถ้าเป็นผู้ที่มีความเข้าใจพระธรรม และอบรมเจริญสติปัฏฐาน...

ไม่ว่าเหตการณ์ใดๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน

ที่ได้พบเห็นทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ

โยนิโสมนสิการหรืออโยนิโสมนสิการ?? ควรหรือที่จะใส่ใจในกิเลสของผู้อื่น??

อโยนิโสมนสิการด้วยการเห็นโทษ เพ่งโทษ ไม่อภัย ขุ่นเคืองใจ...

ขณะนั้นก็ทำร้ายตัวเอง

เวลาคิดถึงบุคคลอื่นแล้วจิตขณะนั้นเป็นกุศลหรืออกุศล

ถ้าเป็นโยนิโมนสิการก็ให้อภัย คิดช่วยเหลือเกื้อกูล

หรืออดทนที่จะรอเวลา ที่จะคอยตักเตือนช่วยเหลือ

เกื้อกูลไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม

ไม่ท้อถอยที่จะช่วยแก้ไขกิเลสหรืออกุศลของคนอื่น

และที่เป็นสาระสำคัญที่สุดคือการได้เกื้อกูลบุคคลอื่นได้เข้าใจพระธรรม

..........................................................

ขอเชิญคลิกอ่าน...

ธรรมที่ข้าพเจ้าประทับใจ

....ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านค่ะ...

 
  ความคิดเห็นที่ 16  
 
ruttikarn
วันที่ 12 พ.ค. 2553

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 17  
 
namarupa
วันที่ 14 พ.ค. 2553

อนุโมทนาในทุกความคิดเห็นค่ะ

โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน ความคิดเห็นที่ 7

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ