ฟังให้เข้า=เข้าใจเฉพาะสิ่งที่กำลังฟัง

 
พุทธรักษา
วันที่  2 ก.พ. 2553
หมายเลข  15341
อ่าน  1,406

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

สนทนาธรรม ณ มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนาในวันอาทิตย์ที่ ๑๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๒ (ถอดเทปบันทึกเสียง โดย คุณย่าสงวน สุจริตกุล)

ข้อความบางตอน ...

มีใจความว่าถ้าเป็น "ปัญญา" คือ ความเข้าใจ ก็จะไม่ลืม ใช่ไหม ไม่ลืม ว่า เป็น "ธรรมะ" ที่เข้าใจได้ จาก "การฟัง" โดยมาก เมื่อฟังแล้วก็ลืม ว่า เป็น "ธรรมะ" เช่น ขณะนี้ กำลังพูดถึงเรื่องของการเห็นและ สภาพของเห็น ก็มีจริงๆ แต่คิดเรื่องอื่นไปไกล โดยที่ไม่เข้าใจว่า "กำลังพูดถึงเฉพาะการเห็น" ถ้าพูดถึง "การเห็น" ต้องหมายถึง เฉพาะการเห็นที่กำลังปรากฏขณะนี้ หมายความว่า เริ่มที่จะไม่สนใจอย่างอื่น ไม่คิดเรื่องอื่นแต่ สนใจ เฉพาะ เรื่อง ที่กำลังพูดพูดเรื่องการเห็น เพราะว่า การเห็นมีจริง-ในขณะนี้ เพราะฉะนั้น "ความเข้าใจ" คือ เข้าใจ ว่า กำลังฟังเรื่อง "ธาตุ" หรือ "สภาพธรรม-ที่กำลังเห็น" และ เข้าใจ-แต่ละคำ-ที่ได้ฟัง ... ฟัง เพื่อ "เข้าใจเพิ่มขึ้น"

เข้าใจเพิ่มขึ้น ว่า "การเห็น" มี "ลักษณะ"จริงๆ เป็นสิ่งที่มีจริง ขณะที่เห็น ... เห็นอะไร เห็น "สิ่งที่กำลังปรากฏได้" เฉพาะทางตา อย่างนี้ จึงใช้คำว่า "เห็น" เมื่อ มีสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น หมายความว่า ไม่ใช่มีแต่ "สิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น-ทางตา" แต่ ต้องมี "สภาพที่กำลังเห็น-สิ่งที่กำลังปรากฏ" ด้วย ถ้าพูดเรื่องของการเห็น คือ สนใจเฉพาะเรื่องการเห็นขณะนี้ไม่สนใจเรื่องอื่นเลยทั้งสิ้นเพราะว่า กำลังพูดเฉพาะเรื่องการเห็น และ กำลังมี "สภาพเห็น" ปรากฏให้รู้ได้จริงๆ ในขณะที่กำลังฟัง

เริ่มฟัง บ่อยๆ จนกว่าจะเป็นความเข้าใจจริงๆ ในสิ่งที่กำลังฟัง-ขณะนั้นถ้าฟัง-แล้วลืม ก็ฟังอีกเช่น พูดเรื่องการเห็น-แล้วลืมก็ฟังเรื่องการเห็นอีก แล้วรู้ว่า "กำลังพูดเรื่องการเห็น" ความเข้าใจ เป็นสิ่งที่ต้องเริ่มสะสมทีละเล็ก ทีละน้อยไม่สามารถ ที่จะเข้าใจได้ทันที ไม่สามารถที่จะ "ไม่ลืม" เพราะเหตุว่า สะสม-ความหลงลืม และ สะสม-ความจำเรื่องอื่นไว้มาก จึงควรทราบว่า ขณะที่พูด กำลังพูดเรื่องอะไร และ พิจารณาว่า สิ่งที่พูดถึงนั้น มีจริงๆ หรือไม่

"การฟังพระธรรม" คือ การได้ยิน-ได้ฟังสิ่งใด หมายความว่า สิ่งนั้น มีจริง และ สิ่งที่มีจริงนั้น กำลังปรากฏความจริง-ให้ เริ่มที่จะเข้าใจในสิ่งนั้นได้จริงโดย การเริ่มเข้าใจ-ทีละเล็ก ทีละน้อย ว่า "ความจริง" ก็คือ สิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏขณะนี้ "เกิดแล้วดับ"
เมื่อสิ่งที่มีจริงนี้ เกิดแล้ว ดับแล้วแล้วจะเป็นอะไร อยู่ที่ไหน ได้อย่างไร


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
พุทธรักษา
วันที่ 2 ก.พ. 2553

แท้ที่สุด ... ของความจริง

ก็คือว่า "สภาพที่มีจริงๆ มีลักษณะจริงๆ เกิดขึ้น-ปรากฏ แล้วก็หมดไป"ซึ่งก็คือ "ลักษณะของจิต เจตสิก และ รูป"ซึ่งหมายถึง "ปรมัตถธรรม" นั่นเอง แต่ ขณะนี้ ยังไม่ "ประจักษ์" ลักษณะที่เกิด-ดับ-ของสภาพธรรม-ที่มีจริงจึงยังไม่รู้ "ความจริง" แม้กำลังเผชิญหน้าอยู่กับ "ความจริง" ก็ตาม "ลักษณะ" ของธาตุ หรือ ธรรมะ แต่ละอย่างๆ เช่น สภาพรู้-ที่กำลังเห็น-สิ่งที่กำลังปรากฏ-ทางตา ขณะนี้หรือ สภาพได้ยิน-เสียง ขณะนี้ ถ้าเป็น "ปัญญา" คือ ความเข้าใจที่ได้อบรมเจริญแล้วก็เป็น"ปัจจัย"ที่ทำให้เข้าใจจริงๆ ว่า ไม่มีใครสามารถบังคับบัญชาให้ สภาพรู้ต่างๆ เกิดขึ้น รู้สิ่งใด และ รู้ที่ไหนได้เลย

เพราะแม้ขณะนี้ ทั้งๆ ที่กำลังเห็น ก็ยังไม่รู้ลักษณะของสภาพเห็นเพราะว่า ยังไม่ถึงกาลเวลาที่มี "ปัจจัย" ที่ทำให้เข้าใจ ลักษณะของสภาพเห็นเพียงแต่ว่า กำลังสะสมการฟัง "เรื่องของการเห็น" โดยฟังให้เข้าใจ หรือ ขณะที่กำลังได้ยิน-ขณะนี้ ก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้น-ปรากฏ-มีจริงแต่เมื่อยังไม่ถึงเวลาที่จะเข้าใจได้ ว่า "ขณะได้ยิน ไม่มีการเห็น" เพราะว่า เมื่อสภาพธรรมปรากฏ ต้องปรากฏทีละอย่างๆ ไม่ใช่สืบต่อ เหมือนกับรวมกันไว้ทั้งหมด ว่ามีทั้งเห็นและได้ยินพร้อมกัน

ความจริง ก็คือ สภาพธรรมต้องปรากฏทีละอย่างปรากฏ โดยมี "ลักษณะเฉพาะแต่ละอย่าง"เช่น เห็น เป็น เห็น ... ได้ยิน เป็น ได้ยิน ฯลฯเห็น กับ ได้ยิน เกิดคนละขณะ ไม่ได้เกิดพร้อมกัน เห็น กับ ได้ยิน ดูหมือนกับเกิดพร้อมกันแต่ ตามความเป็นจริงนั้น เห็น กับ ได้ยิน เกิดห่างไกลกันมากเพราะว่า เมื่อเห็นดับไปแล้ว จิตเกิดดับหลายขณะมากจนนับไม่ถ้วนการได้ยิน จึงเกิดขึ้น-สืบต่อ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
พุทธรักษา
วันที่ 2 ก.พ. 2553

แต่ขณะนี้ กำลังดูเหมือนกับว่า ทุกคนรู้จักกันหมด

ความจริง คือ รู้สิ่งที่กำลังปรากฏทางตา ปรากฏเป็นรูปร่าง-สัณฐาน เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งไดที่จำได้โดยไม่รู้ตามความเป็นจริง ว่า ขณะนี้ กำลังมีสภาพรู้ คือ เห็นและ มีสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา คือ สีสัน-วัณณะ เกิดแล้ว ... ก็ดับไป. ที่ไม่รู้ ตามความเป็นจริงก็เพราะว่า การเกิดขึ้นและดับไปของสภาพธรรมนั้น รวดเร็วมาก นี่คือสาเหตุ ที่ควร-อบรม-เจริญ-ปัญญา ... เพื่อ "ละความไม่รู้"

ไม่ใช่ฟัง แล้ว ไม่เป็นความเข้าใจในสิ่งที่ฟังแล้วยังเข้าใจผิดว่าเป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ ผู้ที่รู้แล้ว คือ ผู้อบรมเจริญปัญญาแล้ว ย่อมสามารถที่จะรู้ว่า "ธรรมะ" คือ สิ่งที่เป็นจริงนั้น สามารถประจักษ์แจ้ง-แทงตลอดได้ ด้วย "ปัญญา-ที่ค่อยๆ ละ-ความไม่รู้-ทีละเล็ก ทีละน้อย" แสดงว่า "ปัญญา" เจริญขึ้นได้ ทีละเล็ก ทีละน้อย "ปัญญา" สามารถเจริญขึ้นได้ โดยการเข้าใจสภาพธรรม ตามความเป็นจริง ก็คือ เข้าใจ-ขณะที่กำลังมีสภาพธรรมปรากฏ เช่น ขณะนี้ ในวันหนึ่งๆ มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น หรือได้ยิน

แต่ไม่ได้มี "ความเห็นถูก" ว่า สิ่งที่ปรากฏให้เห็น เป็น "ธรรมะ" ธรรมะปรากฏว่ามีจริงๆ ขณะไหน ขณะที่มี "จิต" คือ สภาพรู้ เกิดขึ้น และจิต-รู้-สิ่งที่กำลังปรากฏ เช่น จิตเห็น เกิดขึ้น ต้องรู้สภาพธรรม-ที่กำลังปรากฏทางตา หรือ ขณะที่ได้ยินเสียงใดเสียงหนึ่ง ขณะนั้น เสียง ไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ทางตา แต่ จะรู้ว่า เสียง มีจริงๆ เมื่อไร เมื่อ "จิตได้ยิน" เกิดขึ้น-ได้ยิน-เสียง-ที่กำลังปรากฏ เพียงชั่วขณะที่สั้นมาก เกิดขึ้นแล้ว ... ก็ดับไปหมดเลย ทั้ง "จิตได้ยิน" และ "เสียง-ที่จิตได้ยิน" เพราะฉะนั้น "เป็นใคร" หรือเปล่า หรือ เป็น "ธาตุ" แต่ละอย่างๆ แล้ว "เรา" อยู่ที่ไหน
.
ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
จักรกฤษณ์
วันที่ 2 ก.พ. 2553

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
hadezz
วันที่ 3 ก.พ. 2553

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
สุภาพร
วันที่ 3 ก.พ. 2553

ขอขอบพระคุณและอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
Sam
วันที่ 3 ก.พ. 2553

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
วิริยะ
วันที่ 3 ก.พ. 2553

กราบอนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
Komsan
วันที่ 4 ก.พ. 2553

ขอขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
pornpaon
วันที่ 6 ก.พ. 2553

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
chatchai.k
วันที่ 18 ก.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ