สัมปชัญญะมี ๔ อย่าง
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้าที่ 416
บทว่า สมฺปชานการี โหติ ความว่า กระทำกิจทั้งปวงด้วยสัมปชัญญะ หรือกระทำสัมปชัญญะนั่นเอง ด้วยว่า ภิกษุนั้นย่อมกระทำสัมปชัญญะอยู่เสมอในการก้าวไปเป็นต้น มิได้เว้นสัมปชัญญะในกาลไหนๆ .
สัมปชัญญะ ในพระบาลีนั้น มี ๔ อย่าง คือ
๑. สาตถกสัมปชัญญะ
๒. สัปปายสัมปชัญญะ
๓. โคจรสัมปชัญญะ
๔. อสัมโมหสัมปชัญญะ
ใน ๔ อย่างนั้น เมื่อจิตคิดจะไปเกิดขึ้น ยังไม่ทันไปตามที่คิดก่อนใคร่ครวญถึงประโยชน์ มิใช่ประโยชน์ ว่า การไปที่นั้นจะมีประโยชน์แก่เราหรือไม่หนอ แล้วใคร่ครวญประโยชน์ ชื่อ สาตถกสัมปชัญญะ.
คำว่า ประโยชน์ ในบทว่า สาตถกสัมปชัญญะ นั้นคือ ความเจริญฝ่ายธรรมโดยได้เห็นพระเจดีย์ เห็นต้นพระศรีมหาโพธิ เห็นพระสงฆ์ เห็นพระเถระและเห็นอสุภเป็นต้น. ฯลฯ
ส่วนในการไปนั้น ใคร่ครวญถึงสัปปายะและอสัปปายะ แล้วใคร่ครวญสัปปายะ ชื่อสัปปายสัมปชัญญะ ข้อนี้อย่างไร จะกล่าวการเห็นพระเจดีย์มีประโยชน์ก่อน ก็ถ้าบริษัทประชุมกันในที่ ๑๐ โยชน์ ๑๒ โยชน์เพื่อบูชาใหญ่พระเจดีย์ ทั้งหญิงทั้งชาย ประดับตกแต่งกายตามสมควรแก่สมบัติของตน ราวกะภาพจิตรกรรม พากันเดินไปมา ก็ในที่นั้น โลภะย่อมเกิดขึ้นแก่ภิกษุนั้นเพราะอารมณ์ที่น่าปรารถนา ปฏิฆะย่อมเกิดขึ้นเพราะอารมณ์ที่ไม่น่าปรารถนา โมหะย่อมเกิดขึ้นเพราะไม่พิจารณา ย่อมต้องอาบัติเพราะกายสังสัคคะก็มี ย่อมเป็นอันตรายแก่ชีวิตและพรหมจรรย์ ก็มี ด้วยเหตุผลดังกล่าวมานี้ ที่นั้นจึงเป็นอสัปปายะ เพราะไม่มีอันตรายอย่างที่กล่าวแล้ว ที่นั้นเป็นสัปปายะ ฯลฯ
ก็การเลือกอารมณ์กล่าวคือกรรมฐานที่ตนชอบใจในบรรดากรรมฐาน ๓๘ อย่าง แล้วยึดอารมณ์นั้นเท่านั้นไปในที่ที่ภิกขาจาร ของภิกษุผู้ใคร่ครวญถึงประโยชน์และสัปปายะอย่างนี้ ชื่อโคจรสัมปชัญญะ.
เพื่อความแจ่มแจ้งโคจรสัมปชัญญะนั้น บัณฑิตพึงทราบจตุกกะนี้ ดังต่อไปนี้
ภิกษุบางรูปในศาสนานี้ นำไป ไม่นำกลับ บางรูป นำกลับ ไม่นำไป แต่บางรูป ไม่นำไป ไม่นำกลับ บางรูป นำไปด้วย นำกลับด้วย. ฯลฯ
ก็ความไม่หลงในการก้าวไปเป็นต้น ชื่อว่า อสัมโมหสัมปชัญญะ. อสัมโมหสัมปชัญญะนั้นพึงทราบอย่างนี้ ปุถุชนผู้อันธพาล เมื่อก้าวไปเป็นต้น ย่อมหลงผิดว่า คนก้าวไป การก้าวไป ตนทำให้เกิดขึ้น ดังนี้บ้างว่าเราก้าวไป การก้าวไป เราทำให้เกิดขึ้น ดังนี้บ้าง ฉันใด ภิกษุในพระศาสนานี้ไม่หลงผิดฉันนั้น เมื่อจิตคิดว่าเราจะก้าวไปเกิดขึ้น วาโยธาตุซึ่งเกิดแต่จิต ยังวิญญัติให้เกิด ย่อมเกิดขึ้นด้วยจิตนั้นเอง ดังนั้นร่างกระดูกที่สมมติว่ากายนี้ ย่อมก้าวไปด้วยอำนาจความแผ่ไปของวาโยธาตุ อันเกิดแต่พลังงานของจิต ด้วยประการฉะนี้ เมื่อร่างกระดูกนั้นก้าวไปอย่างนี้ ในขณะที่ยกเท้าขึ้นแต่ละข้าง ธาตุทั้ง ๒ คือ ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ ย่อมอ่อนกำลังลง. อีก ๒ ธาตุนอกนี้ ย่อมมีกำลังขึ้น. ในขณะที่หย่อนเท้าลงธาตุทั้ง ๒ คือ เตโชธาตุ วาโยธาตุ ย่อมอ่อนกำลังลง อีก ๒ ธาตุนอกนี้ย่อมมีกำลังยิ่งขึ้น. ในขณะที่ปลายเท้าจดพื้นและเหยียบเต็มฝ่าเท้า ก็เช่นเดียวกัน. ฯลฯ

สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ และขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่งค่ะ

ขอถวายความนอบน้อมแด่พระรัตนตรัยด้วยเศียรเกล้า
เห็นว่าอะไรเป็นประโยชน์ที่จะทำให้เข้าใจธรรมได้ แม้เพียงเล็กน้อย ก็ต้องไตร่ตรอง อะไรที่จะเป็นประโยชน์ต่อการเข้าใจธรรม มีค่ายิ่งกว่าทรัพย์สินใดๆ ทั้งสิ้น เห็นประโยชน์ของการที่จะต้องประพฤติตาม ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไปด้วยความลึกซึ้งอย่างยิ่ง เห็นประโยชน์ของการได้รู้ความจริง และอะไรที่ไม่เป็นประโยชน์ไม่เป็นสาระเลยเลย ถ้าไม่เข้าใจความจริงที่ปรากฏ จะเข้าใจอะไรเมื่อไร ตั้งแต่เช้ามา อาบน้ำ แต่งตัว ขณะไหนที่เห็นประโยชน์ ไม่มีเลยใช่ไหม เห็นประโยชน์ไหมว่า ต้องไม่มีดีกว่า ใช่ไหม เห็นประโยชน์จริงๆ แม้เพียงเล็กน้อยจนทั่ว รอบรู้ในประโยชน์ต้องเป็นประโยชน์ จริงๆ ไม่ใช่อกุศล นี่เพียงข้อแรกคือ สาตถกสัมปชัญญะ
ถ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงแสดงไว้ ก็ไม่รู้เลยว่า อะไรเป็นกุศล อะไรเป็นอกุศล ยังอยากได้อกุศลสะสมต่อไปด้วยความไม่รู้ แล้วไปทำอะไรที่ผิดๆ ทางผิด จะเป็นประโยชน์ไหม
กราบเท้าบูชาพระคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง
อนุโมทนายินดีในกุศลธรรมทานทุกท่านด้วยค่ะ


