เพราะเห็นจึงคิด

 
เมตตา
วันที่  19 ม.ค. 2553
หมายเลข  15182
อ่าน  1,296

ทุกวันนี้ชีวิตดำเนินไปด้วยความไม่รู้ความจริงไปตามโลกที่สมมติกัน เมื่อไม่รู้ความจริงของเห็น เห็นแล้วจึงคิดไปในเรื่องราวต่างๆ มากมาย มีคนนั้นคนนี้ มีสัตว์สิ่งของต่างๆ ซึ่งไม่มีอยู่จริง สำหรับพระอริยเจ้านั้น ท่านรู้จักโลกตามความเป็นจริงว่า แท้จริงขณะที่คิดว่าเป็นโลก เป็นสัตว์สิ่งของ คนนั้นคนนี้เป็นเรื่องราวต่างๆ นั้นไม่มีจริง เป็นเพียงโลกที่สมมติกันเท่านั้น ท่านรู้ความจริงของโลกทางตา ทางหู .. และทางใจ ส่วนปุถุชนอย่างเรา เห็นก็ยังเป็นเราที่เห็น เราได้ยิน ... ความจริงเห็นเกิดขึ้น เห็นเพียงสิ่งที่ปรากฏทางตาเท่านั้นแล้วดับไป เพราะความไม่รู้ความจริงของเห็น ทันทีที่เห็นจึงคิดไปในนิมิตสัณฐานต่างๆ เป็นรูปร่าง เป็นคน เป็นสัตว์ตามที่ได้จำไว้ ชีวิตจึงอยู่กับเรื่องราวต่างๆ ซึ่งไม่มีอยู่จริง แล้วจะอยู่กับความไม่รู้ต่อไปหรือจะค่อยๆ ฟังพระธรรมให้เข้าใจสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏทางตา ทางหู ... และทางใจ ค่อยๆ เข้าใจโลกทั้ง ๖ ตามความเป็นจริง

ขออนุโมทนาค่ะ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
ตะวัน
วันที่ 19 ม.ค. 2553

ขอถามว่า สิ่งที่เห็น สิ่งที่มี คือความเป็นอุปทานหรือเปล่าครับ เข้ามาหาความรู้ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
paderm
วันที่ 19 ม.ค. 2553

เรียน ความเห็นที่ 1

อุปทานคือความยึดมั่น ยึดถือด้วยโลภะบ้างหรือด้วยความเป็นเรา เห็นเมื่อเกิดขึ้นก็ต้องมีสิ่งที่เห็น พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้ความจริง ได้ทรงแสดงว่าเมื่อเห็นเกิดขึ้นก็ต้องมีสิ่งที่เห็น สิ่งที่เห็นเป็นเพียงสีเท่านั้น ยังไม่ใช่สัตว์ บุคคล แต่เมื่อจิตเห็นดับไป จิตอื่นๆ สืบต่อ จิตวาระอื่นๆ สืบต่อทำให้คิดในสิ่งที่เห็น (สี) ว่าเป็นสัตว์ บุคคล เป็นคนนั้นคนนี้ จึงทำให้ยึดถือด้วยอุปทานด้วยความเป็นเรา มีเรา มีสัตว์ บุคคลจริงๆ ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้ว สัตว์ บุคคลไม่มี มีแต่ธรรมเท่านั้นคือสิ่งที่เห็น (สี)

สิ่งที่มีและมีจริงๆ ก็คือมีแต่ธรรมเท่านั้นครับ คือ จิต เจตสิก รูป แต่เพราะมี จิต เจตสิก รูป เช่น มีธาตุดิน น้ำ ไฟ ลมที่ประชุมรวมกันและมีจิต จึงบัญญัติว่าเป็นคนเป็นสัตว์ จึงสำคัญสิ่งที่ไม่มีจริงที่เป็นคนเป็นสัตว์ บุคคล สิ่งต่างๆ ว่ามีจริงๆ เพราะสิ่งที่มีจริงมีแต่ธรรมที่เป็นนามธรรมและรูปธรรมที่เป็น จิต เจตสิกและรูป จะเข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ ก็ด้วยปัญญาโดยการศึกษาธรรม ครับ

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
orawan.c
วันที่ 20 ม.ค. 2553

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
ตะวัน
วันที่ 20 ม.ค. 2553

ขอบพระคุณมากครับ

ผมจะใช้ความรู้นี้เพื่อพิจารณาในขณะทำสมาธิครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
เมตตา
วันที่ 20 ม.ค. 2553

การทำสมาธิถ้าไม่มีความเข้าใจพระธรรม ก็ยังเป็นตัวตนที่ทำค่ะ เมื่อมีความเข้าใจธรรม ขณะที่กุศลจิตเกิด ขณะนั้นก็เป็นสัมมาสมาธิค่ะ

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
วิริยะ
วันที่ 20 ม.ค. 2553

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
คุณ
วันที่ 21 ม.ค. 2553

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
รากไม้
วันที่ 22 ม.ค. 2553

แม้เพียง ความเห็นผิดที่มีเพียงน้อยนิด ... หากปฏิบัติไปผิดทาง ก็จะไม่มีทางรู้เลย ซึ่งก็จะยิ่งไกลออกไป ไกลออกไป และไกลออกไป ไกลจากความจริงที่พระพุทธองค์ ได้ทรงแสดงไว้

ขออนุโมทนา ผู้ใฝ่ธรรมะทุกท่าน

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
wannee.s
วันที่ 23 ม.ค. 2553

สิ่งที่เห็น เป็นจิตเห็น เป็นชาติวิบาก อุปาทานคือตัณหาและทิฏฐิ คือ ความยึดมั่นในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ความยึดมั่นถือมั่นในความเห็นผิด ยึดมั่นในตัวตน

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
narong.p
วันที่ 24 ม.ค. 2553

เห็นเป็นเห็น ไม่ใช่เราที่เห็น บังคับให้เห็นไม่ได้ ไม่อยากเห็นก็ไม่ได้ เห็นเป็นธรรมะอย่างหนึ่ง ซึ่งบังคับบัญชาไม่ได้ เมื่อไม่รู้ความจริง ก็ยึด (อุปทาน) เป็นเราที่เห็น เมื่อได้ศึกษา ก็จะทราบว่าจิตมี๔ชาติและจิตเห็นเป็นจิตชาติวิบาก เป็นผลของกรรม จึงกล่าวว่า"ไม่อยากเห็นก็ไม่ได้" ที่สำคัญคือ หลังเห็นแล้วเป็นจิตอะไร กุศลหรืออกุศล ตามการสะสม สะสมต่อไปๆ ๆ ๆ ๆ วนเวียนอยู่ในสังสารวัฏ ด้วยความไม่รู้ ครับ

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
nida
วันที่ 7 ก.พ. 2553

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
chatchai.k
วันที่ 18 ส.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ