อะไรที่ไม่เคยทำ

 
WS202398
วันที่  13 ม.ค. 2553
หมายเลข  15110
อ่าน  2,017

ในสังสารวัฏฏ์ มีสิ่งใดที่เราไม่เคยทำหรือไม่


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 13 ม.ค. 2553

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

สำหรับปุถุชน ในสังสารวัฏฏ์มี่ผ่านมาในฝ่ายอกุศลกรรมแล้วย่อมสามารถเป็นผู้ที่ทำอกุศลกรรมได้ทุกอย่าง แม้แต่อนันตริยกรรมก็ทำได้ เพราะความหวั่นไหวในความเป็นปุถุชนครับ สำหรับปุถุชนในฝ่ายกุศลธรรม ย่อมเป็นผู้ทำกุศลได้เกือบทุกอย่าง ตั้งแต่กุศลขั้นทาน จนถึงอรูปฌานที่ทำให้เกิดในพรหมโลก แต่ผู้ใดยังเป็นปุถุชนจนถึงวันนี้ ก็ยังไม่ได้ทำกุศลธรรมที่เป็นกุศลระดับโลกุตตระอันเป็นไปเพื่อดับกิเลสประการต่างๆ แน่นอน พาลปุถุชนอันเป็นผู้มีความเห็นผิดอย่างมาก ย่อมไม่ได้มีโอกาสทำกุศลที่มีความเห็นถูก เพราะเป็นผู้มีความเห็นผิดและไม่มีทางถึงกุศลที่เป็นระดับโลกุตตระอันเป็นไปเพื่อดับกิเลสได้เลย เพระฉะนั้นสิ่งใดผ่านไปแล้วก็เป็นอันผ่านไปแล้ว เริ่มเหตุปัจจุบันขณะนี้ สะสมสิ่งที่ดีคือความเข้าใจพระธรรม อันเป็นปัจจัยที่จะไม่ต้องทำ ไม่ต้องทุกข์ในสังสารวัฏฏ์อีกต่อ

ไป ขออนุโมทนาครับ อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
WS202398
วันที่ 13 ม.ค. 2553

ขอขอบพระคุณ ขออนุโมทนาครับ

มีผู้มีความเห็นผิดอย่างมาก แบบที่เคยได้ยินมาว่า เรียกว่า ตอของวัฏฏะด้วยหรือครับ ตลอดสังสารวัฏฏ์ มีผู้นิพพานไปแล้วนับไม่ได้ แต่สังสารวัฎฎ์ก็ไม่อาจมองเห็นที่สุด เหล่าสัตว์ ก็ยังมีในสังสารวัฏฏ์ไม่มีประมาณ ผมรู้สึกว่าไม่ยุติธรรมเลย ถ้ามีตอแห่งวัฏสงสาร เพราะด้วยไตรลักษณ์ธรรมก็เหมือนจะประกันว่า สักวันไม่ช้าก็เร็ว โอกาสย่อมมีอยู่สำหรับสัตว์เหล่านั้น แม้ผู้ที่ทำผิดอย่างมากหากพ้นโทษก็ยังมีโอกาสต่อไป ถ้าเช่นนั้น ถ้าจะกล่าวว่าสิ่งที่มีโทษมากที่สุดคือ มิจฉาทิฏฐิ ถูกหรือไม่ครับ

หากมีผู้ที่อ้างว่า เป็นโพธิสัตว์ หรือโพธิสัตว์ในตำนานต่างๆ ก็ตาม (จะจริงหรือไม่ก็ตาม) ความว่า จะไม่นิพพานจนกว่าจะช่วยสัตว์ให้พ้นไปได้หมดแล้วเช่นนี้ จะถือเป็นความเห็นที่ถูกต้องหรือไม่ ในเมื่อสังสารวัฏฏ์ไม่มีที่สุด ซ้ำยังมีสิ่งที่เรียกว่า ตอแห่งวัฎฎะอีกด้วย

มีครั้งหนึ่งสมัยที่ผมเรียนที่มหาวิทยาลัย ซึ่งยังไม่ค่อยรู้อะไรเลย รู้ผิดๆ ก็มาก มีคำถามว่าผมพูดพร่ำ สะสมข้อมูลธรรมะมีเป้าหมายอะไร ผมก็ตอบไปอย่างไม่ค่อยคิดอะไรเช่นกันว่าไปนิพพาน เพราะเท่าที่ผมได้ยินคนพูดตอนนั้นเกี่ยวกับธรรมะ ถ้าไม่พูดถึงบาปบุญ สวรรค์ ก็พูดถึงนิพพาน ครั้งก่อนที่ผมตอบว่าไปนิพพานกับเพื่อนคนก่อน เขายิ้มและพูดทำนองว่า ขนาดนั้นเลยหรือ ผมยิ้มตอบ ไม่รู้สึกแปลกใจอะไรเพราะก็รู้ตัวเองว่าเป็นอย่างไร และพูดถึงอะไร และรู้ว่าทั้งสองฝ่ายไม่ได้จริงจังอะไรกับคำพูด ครั้งนี้เพื่อนคนหลังเขาถามผมกลับทันทีทำนองว่า จะตัดช่องน้อยแต่พอตัวหรือ ผมแปลกใจมากกับคำถามนั้น แต่มันก็ทำให้ผมอึ้งและเงียบไปเลย ปนงงๆ ด้วย เพราะไม่เคยว่าจะถูกถามเช่นนี้มาก่อน หรือได้ยินอะไรแบบนี้ ตอนนั้นผมไม่เคยคิดเรื่องจะต้องช่วยใคร เพราะตอนนั้นผมคิดว่าโลกนี้มีสิ่งที่เป็นทุกข์อยู่มากและคิดถึงสิ่งที่ดีกว่าเท่านั้นเอง

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
paderm
วันที่ 13 ม.ค. 2553

เรียน ความเห็นที่ 2

ความเห็นผิดมีโทษมาก ความเห็นผิดมีโทษมาก สามารถทำบาปได้ทุกอย่างเพราะมีความเห็นผิดเป็นปัจจัย ความเห็นผิดที่ดิ่ง มี 3 อย่างคือ นิยตมิจฉาทิฎฐิ ๓ ได้แก่

- อเหตุกทิฎฐิ เห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นเองเป็นเอง ไม่อาศัยเหตุปัจจัยให้เกิดให้มีขึ้น ไม่เชื่อในเหตุ

- นัตถิกทิฎฐิ เห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น ไม่ใช่ผลอันเนื่องมาแต่เหตุผลของการทำดีทำชั่ว ไม่มีโลกนี้โลกหน้า สัตว์บุคคลไม่มี เป็นแต่ธาตุประชุมกันตายแล้วสูญไม่เกิดอีก เชื่อว่าไม่มีอะไรทั้งนั้น

- อกิริยทิฎฐิ เห็นว่าการกระทำใดๆ ไม่ชื่อว่าเป็นอันกระทำ ผลบาปบุญไม่มีแก่ผู้ทำกระทำแล้วก็เป็นอันแล้วกันไป ปฏิเสธการกระทำโดยประการทั้งปวง

มิจฉาทิฏฐิที่ดิ่งเป็นนิยตมิจฉาทิฏฐิ มีโทษมากกว่าอนันตริยกรรม (ฆ่า บิดา มารดา (เป็นต้น) เพราะอนันตริยกรรมยังพอกำหนดอายุที่จะไปอบายได้ เช่น ไปนรก 1 กัป ดังเช่น พระเทวทัตทำสังฆเภท (ทำสงฆ์ให้แตก) ซึ่งเมื่อครบกำหนดอายุกรรมแล้วก็สามารถไปเกิดในสุคติภูมิและบรรลุธรรมภายหลังได้ ดังเช่น พระเทวทัต ภายหลังท่านก็ได้เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าในอนาคตกาล แต่ว่ามิจฉาทิฏฐิไม่สามารถออกจากวัฏฏะได้เลย (ตอวัฏฏะ) และยังเป็นเหตุให้ที่ทำบาปกรรมต่างๆ มากมายด้วย มีการทำอนันตริยกรรม เป็นต้น จึงไม่สามารถไปสุคติภูมิได้และไม่มีทางบรรลุมรรคผล จึงมีโทษมากดังนี้ ด้วยเหตุนั้นนั่นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรามองไม่เห็น ธรรมอย่างหนึ่ง อันอื่นที่มีโทษมาก เหมือนอย่างมิจฉาทิฏฐิเลย กระบวนโทษทั้งหลาย มิจฉาทิฏฐิมีโทษอย่างยิ่ง

ดังนั้น เราไม่สามารถจะช่วยใครได้หมดเพราะผู้ที่มีความเห็นผิดที่ดิ่งมากตามที่กล่าวมา แม้พระพุทธเจ้าก็ไม่สามารถจะช่วยได้ สำคัญที่เรา เมื่อเรามีความเข้าใจพระธรรม กาย วาจาก็ดีขึ้น ก็เป็นประโยชน์กับคนรอบข้าง ที่สำคัญสำหรับผู้ที่ดับกิเลสแล้วก็ย่อมมีประโยชน์ กับคนรอบข้างแค่ไหน ทั้งเป็นเนื้อนาบุญและได้เข้าใจพระธรรม สำหรับคนที่สะสมความเข้าใจมา การดับกิเลสจึงไม่ใช่การตัดช่องน้อยแต่พอตัวแต่อย่างใด แต่เป็นประโยชน์กับคนอื่นมากมาย มีพระอรหันตสาวกเป็นตัวอย่าง ปัญญาของใครก็ของคนนั้น พระพุทธองค์ย่อมประกอบด้วยพระมหากรุณาสูงสุด แต่ทรงเว้นคนที่ไม่ได้สะสมอุปนิสัยมา เพราะไม่สามารถช่วยเขาได้นั่นเอง เป็นต้น

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
khampan.a
วันที่ 13 ม.ค. 2553

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
WS202398
วันที่ 14 ม.ค. 2553

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
เมตตา
วันที่ 15 ม.ค. 2553

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่ 15 ม.ค. 2553

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
คุณ
วันที่ 15 ม.ค. 2553

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
ajarnkruo
วันที่ 15 ม.ค. 2553

ในสังสารวัฏฏ์อันยาวนาน เราเคยทำหลายๆ สิ่ง ทั้งสิ่งที่เป็นความดีและความไม่ดี แต่น้อยครั้งมาก ที่เราจะมีโอกาสพบหนทางที่สามารถจะทำให้รู้ความจริงว่า สิ่งที่ได้ทำไปทั้งหมด "เป็นธรรมะทั้งหมด ... ไม่ใช่เรา" การศึกษาพระธรรมของพระอรหันตสัมมา-สัมพุทธเจ้าเป็นหนทางเดียวที่จะทำให้ผู้ที่ศึกษาอย่างถูกต้อง เกิดปัญญารู้ความจริงว่า "ขณะนี้เป็นธรรมะ ขณะนี้เป็นสังสารวัฏฏ์" ซึ่งถ้ายังมีความไม่รู้เป็นปัจจัยอยู่ ก็จะยังมีการทำความดีและความไม่ดี เพื่อรับผลของกรรมดีและไม่ดีต่อไปเรื่อยๆ พระธรรมที่พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้ดีแล้วเท่านั้น ที่จะเป็นที่พึ่งให้เกิดความรู้ เกิดปัญญา เพื่อละความไม่รู้และกิเลสอกุศลทุกประการ เริ่มต้นและตั้งต้นด้วยการศึกษาตั้งแต่วันนี้ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
bsomsuda
วันที่ 15 ม.ค. 2553

ขอขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
bsomsuda
วันที่ 16 ม.ค. 2553

ขอเรียนถามคุณ paderm เพิ่มเติมว่า...

หากผู้ที่เราสนิทสนมคุ้นเคยเป็นผู้ที่มีความเห็นที่ดิ่งว่า สิ่งไม่ดีทั้งหลายที่ตนและผู้ที่ตนรักประสบ เช่น การเจ็บป่วย การตาย นั้น มีผู้อื่นเป็นต้นเหตุ และมีวิธีเดียวที่จะแก้ไขได้ ก็ด้วยการสาปแช่งผู้นั้นกลับไป (คิดว่าเขามีความเชื่อเรื่องไสยศาสตร์มาก) นอกจากนี้ ยังมีความเชื่อเรื่องกรรมว่า สามารถส่งต่อให้ลูกหลานได้ เช่น เชื่อว่าถ้าพ่อแม่ทำไม่ดี ก็จะทำให้ลูกได้รับผลไม่ดีนั้น บุคคลนี้มีความเชื่อดังกล่าวที่ดิ่งลึกมากมาก ไม่ยอมเปลี่ยนแปลงง่ายๆ แม้ได้ฟังพระธรรม ก็ว่าพระธรรมนี้ไม่สามารถช่วยให้เขาพ้นทุกข์ ต้องใช้วิธีสาปแช่งต้นเหตุเท่านั้นชีวิตจึงไม่ต้องประสบกับสิ่งเลวร้าย ดังนั้น เราควรมีปฏิสัมพันธ์กับเขาอย่างไร ควรช่วยเหลือเขาอย่างไรบ้างคะ จึงจะช่วยบรรเทาความเห็นผิดลงได้บ้าง

ขอขอบพระคุณล่วงหน้าค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
paderm
วันที่ 16 ม.ค. 2553

เพราะธรรมไม่สาธารณะสำหรับคนทุกคน เพราะเขาไม่เห็นประโยชน์ก็ไม่สนใจ คงบังคับอะไรไม่ได้ คงต้องเข้าใจว่า เขาเป็นอย่างนั้น เกื้อกูลเท่าที่ทำได้ ให้หนังสือที่ถูกต้องไป ส่วนเขาจะสนใจไม่สนใจก็คงเป็นเรื่องของบุคคลนั้นที่เคยสะสมความเห็นถูกมาหรือไม่ เท่านั้นเองครับ สำคัญควรเข้าใจรักษาจิตตนเองด้วยความเข้าใจว่าสัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของของตนครับ

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
wannee.s
วันที่ 16 ม.ค. 2553

ในพระไตรปิฏกก็มีแสดงไว้ ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี มีเพื่อนที่มีความเห็นผิด ท่านก็พาเพื่อนไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า และได้ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้า พอกลับมาไม่นานก็กลับไปมีความเห็นผิดอีก แต่เพราะได้เพื่อนดีอย่างท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ภายหลังเพื่อนของท่านอนาถก็ได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน ดับความเห็นผิดหมดค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
bsomsuda
วันที่ 16 ม.ค. 2553

ขอขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
รวส
วันที่ 25 ม.ค. 2553

กราบอนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 16  
 
พร้อมเสมอ
วันที่ 30 ส.ค. 2553

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 17  
 
klinhom
วันที่ 21 ต.ค. 2553

ดีครับ อนุโมทนาสาธุ ทุกข้อความครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 18  
 
คุณ
วันที่ 22 ต.ค. 2553

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 19  
 
สิริพรรณ
วันที่ 20 มิ.ย. 2560

ได้เกิดมาแล้ว สิ่งทั้งหลายที่แสวงหา และได้มา เป็นเพียงประโยชน์ชั่วคราว เพื่ออาศัยในโลกนี้เท่านั้น แต่การศึกษาพระธรรม เข้าใจความจริงที่พระพุทธองค์ทรงแสดง คือประโยชน์สูงสุด และให้ผลที่ประเสริฐทุกภพทุกชาติ ตราบที่ยังต้องวนเวียนในสังสารวัฎฎ์

กราบอนุโมทนาขอบพระคุณทุกท่านด้วยค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 20  
 
chatchai.k
วันที่ 28 ธ.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ