อินเดีย ... อีกแล้ว33

 
kanchana.c
วันที่  28 ธ.ค. 2552
หมายเลข  14889
อ่าน  3,213

บ้านท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี

วันนี้ตื่นแต่เช้าเพื่อเตรียมตัวไปเยี่ยมชมสถานที่สำคัญทางพระพุทธศาสนาที่มีหลาย แห่งในกรุงสาวัตถี เช่น บ้านท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี บ้านปุโรหิตบิดาของท่านพระ องคุลีมาล สถานที่แสดงยมกปาฏิหาริย์ พระวิหารเชตวัน สถานที่ท่านพระเทวทัตถูก ธรณีสูบ เป็นต้น

พวกเราผู้หญิงหลายคนแต่งชุดส่าหรีที่ซื้อมาจากหน้าพระเวฬุวัน กรุงราชคฤห์ เลยทำ ให้ได้บรรยากาศอินเดียๆ และจิตใจครึกครื้นดี เราโชคดีที่ถึงไม่ซื้อ ก็ยังมีผู้ใจบุญนำมา เผื่อจากกรุงเทพ ต้องกราบขอบพระคุณค่ะ

สถานที่แรกที่ไปชม คือ บ้านท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ผู้ได้รับยกย่องว่าเป็นเลิศกว่า อุบาสกทั้งหลายในการให้ทาน ตามที่ท่านตั้งความปรารถนาไว้ในสมัยพระผู้มีพระภาค ทรงพระนามว่า ปทุมมุตระ และท่านได้เจริญกุศลมากมายเพื่อให้ได้ตำแหน่งที่ปรารถนา นั้น จนถึงในสมัยพระผู้มีพระภาคพระองค์นี้ ท่านเกิดเป็นลูกของสุมนเศรษฐี ชื่อว่า สุทัตตะ เมื่อเจริญวัยก็ให้ทานเป็นประจำ เป็นใหญ่ในการให้ทาน จนได้ชื่อว่า อนาถ บิณฑิกะ ซึ่งแปลว่า ผู้ให้ก้อนข้าวแก่คนอนาถา

ในพรรษาที่ ๒ หลังจากที่พระผู้มีพระภาคตรัสรู้แล้ว ท่านได้เดินทางไปกรุงราชคฤห์ เมื่อได้ทราบจากราชคหเศรษฐี พี่ภรรยาของท่านว่า จะถวายภัตตาหารพระภิกษุสงฆ์ที่ มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข เมื่อท่านได้ยินคำว่า “พระพุทธเจ้า” ก็เกิดปีติมากจนนอนไม่ หลับ เดินทางไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคแต่เช้ามืด ฟังธรรมแล้วได้บรรลุโสดาปัตติผล ใน วันรุ่งขึ้นก็ถวายภัตตาหารพระภิกษุสงฆ์ที่มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข แล้วทูลเชิญพระผู้มี พระภาคเสด็จมาประทับที่กรุงสาวัตถี

ระหว่างเดินทางกลับกรุงสาวัตถี ระยะทาง ๕๔ โยชน์นั้น ได้ให้สร้างวิหารตลอดทุก ๑ โยชน์ และให้ทานทรัพย์เป็นแสนๆ เมื่อไปถึงกรุงสาวัตถี ก็ซื้อที่ดินจากเจ้าเชตโดย ลาดเงินเรียงจนเต็มพื้นที่เป็นจำนวน ๑๘ โกฏิ สร้างวิหารด้วยทรัพย์ ๑๘ โกฏิ ฉลอง วิหารเป็นเวลา ๙ เดือน ด้วยทรัพย์ ๑๘ โกฏิ และทุกวันท่านจะถวายทานแด่พระภิกษุ สงฆ์จำนวน ๕,๐๐๐ ที่ในเรือนของท่านเป็นประจำ

บ้านของท่านที่เห็นนั้นเป็นซากอิฐที่สูงใหญ่พอสมควร เวลาผ่านไปกว่า ๒,๕๐๐ ปี ยัง เหลือให้เห็นใหญ่ขนาดนี้ ก็แสดงว่าบ้านของท่านต้องใหญ่มาก เพราะสามารถถวาย ภัตตาหารพระภิกษุสงฆ์ได้เป็นพันๆ รูป เคยอ่านในพระไตรปิฎกว่า บ้านของท่านนั้นมี ข้าทาสบริวารมากมาย วันหนึ่งเป็นวันอุโบสถ คนในบ้านก็ถือศีลอุโบสถ ไม่มีการหุงต้ม อาหารในเวลาเย็น คนรับใช้ใหม่คนหนึ่งเพิ่งเข้ามาอยู่ในบ้าน เมื่อได้ทราบว่าคนอื่นถือ ศีลอุโบสถกันหมด ก็เลยถือบ้าง แต่เพราะเหน็ดเหนื่อยจากการทำงานและอดอาหารจึง เสียชีวิต ไปเกิดในสวรรค์

(ที่เก็บทรัพย์สมบัติ ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี)

เมื่อมายืนอยู่ในบริเวณบ้านของท่าน เรื่องราวที่เคยได้ฟังได้ศึกษามาก็เป็นสังขาร ขันธ์ปรุงแต่งให้เห็นภาพพจน์ต่างๆ นึกถึงเทวดาที่สิงสถิตอยู่ที่ซุ้มประตูบ้านนี้ ที่ห้าม ไม่ให้ท่านเศรษฐีให้ทานอีก เพราะท่านสูญทรัพย์จากการให้พ่อค้ากู้เงินไป ๑๘ โกฏิ ทรัพย์ที่ฝังไว้ในดิน ๑๘ โกฏิ ก็ถูกน้ำเซาะจมลงไปในมหาสมุทร ท่านจึงยากจนลง แต่ ก็ยังให้ทานตามมีตามได้ โดยถวายข้าวปลายเกวียนกับน้ำผักดอง พระผู้มีพระภาคตรัส กับท่านว่า “เมื่อมีจิตผ่องใส ทานที่บุคคลถวายแด่พระอรหันต์ทั้งหลายมีพระพุทธเจ้า เป็นต้น ชื่อว่าเศร้าหมองย่อมไม่มี”

เทวดาคิดว่าท่านเศรษฐีให้ทานมากจึงยากจนลง จึงห้ามไม่ให้ทาน แต่ท่านอนาถบิณ ฑิกเศรษฐีซึ่งเป็นพระโสดาบันมีศรัทธาไม่หวั่นไหว จึงไล่เทวดาผู้เป็นมิจฉาทิฏฐินั้น ออกไป แต่ภายหลังเทวดานั้นก็ช่วยให้ท่านเศรษฐีกลับรวยเหมือนเดิม ท่านเศรษฐีจึง พาเทวดาไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ซึ่งทรงโอวาทว่า

“แม้คนผู้ทำบาป ย่อมเห็นบาปว่าดี ตลอดกาลที่บาปยังไม่เผล็ดผล แต่เมื่อใด บาป เผล็ดผล เมื่อนั้นเขาย่อมเห็นบาปว่าชั่ว ฝ่ายคนทำกรรมดี ย่อมเห็นกรรมดีว่าชั่ว ตลอด กาลที่กรรมดียังไม่เผล็ดผล แต่เมื่อใดกรรมดีเผล็ดผล เมื่อนั้น เขาย่อมเห็นกรรมดีว่าดี” แม้ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีผู้ทำบุญกุศลเป็นอันมากตลอดเวลายาวนานเพื่อตำแหน่ง ผู้เลิศกว่าอุบาสกทั้งหลายในการให้ทาน แต่ในสังสารวัฏอันนานแสนนานนั้น ท่านก็ได้ เคยทำอกุศลกรรมไว้ด้วย เมื่อถึงเวลาที่เหตุปัจจัยเหมาะสมท่านก็ได้รับผลของอกุศล กรรมนั้น ทำให้คนเข้าใจผิดคิดว่า ท่านให้ทานมากขนาดนี้ ทำไมถึงต้องจนลงด้วย อาจจะเป็นเพราะให้ทานมากไปหรือเปล่า แม้แต่เทวดาผู้เกิดในสมัยพระผู้มีพระ ภาค และอยู่ในสถานที่สมควร คือ ซุ้มประตูบ้านของท่านเป็นเลิศในการให้ทานก็ยังเข้า ใจผิด

ดังนั้นจึงไม่ควรประมาทในกรรมและผลของกรรม เมื่อได้รับผลของอกุศลกรรม ทำให้ เสื่อมลาภ เสื่อมยศ เป็นทุกข์ ถูกนินทา ก็ควรจะได้รู้ว่าเป็นผลของอกุศลกรรมที่ได้เคย ทำไว้เอง ไม่ควรจะทุกข์ใจมากขึ้นไปกว่าที่ควรจะเป็น เพราะความไม่เข้าใจเรื่องกรรม ไปโทษคนอื่นว่าเป็นคนทำ แต่จริงๆ แล้ว ไม่มีใครสามารถทำให้ได้ นอกจากตนเองเท่า นั้น แต่อาจจะไม่รู้ เพราะภพชาติที่ผ่านมานั้นเหมือนบานประตูที่ปิดสนิท ทำให้มองไม่ เห็นว่าหลังประตูนั้นมีอะไรอยู่บ้าง แต่พระผู้มีพระภาคก็ทรงพระมหากรุณาแสดงว่าเบื้อง หลังประตูนั้นมีทั้งกุศลกรรมและอกุศลกรรมที่ทำไว้เอง เมื่อถึงเวลาก็ให้ผลตามสมควร แก่เหตุ และเช่นเดียวกัน เมื่อได้รับผลของกุศลกรรม เป็นลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ก็อย่า ลิงโลดใจ เพราะนั่นเป็นผลของกุศล ซึ่งจะสังเกตได้ในชีวิตประจำวันว่า ทำอกุศล มากกว่ากุศล และในชาติก่อนๆ ก็คงเช่นเดียวกัน ดังนั้นผลของกุศลจึงมีน้อยและแสน สั้น จึงอย่าลำพองใจว่าจะได้รับแต่สิ่งดีๆ เท่านั้น


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
ups
วันที่ 28 ธ.ค. 2552

สาธุ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
คุณ
วันที่ 28 ธ.ค. 2552

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
hadezz
วันที่ 28 ธ.ค. 2552

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
khampan.a
วันที่ 28 ธ.ค. 2552

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
bsomsuda
วันที่ 28 ธ.ค. 2552

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
วิริยะ
วันที่ 28 ธ.ค. 2552

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
Jans
วันที่ 28 ธ.ค. 2552

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
yut_suan
วันที่ 29 ธ.ค. 2552

ขออนุโมทนาบุญครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
คนบ้านนอก
วันที่ 4 ม.ค. 2553

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
pondhip
วันที่ 8 ม.ค. 2553

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
Naza
วันที่ 31 ก.ค. 2566

ขอบคุณและอนุโมทนาค่ะ สาระเยอะมากดีจัง อ่านแล้วมีจิตปลื้มปิติตามเลยค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ