มหาสังคีติ [กถาวัตถุ]

 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่  8 ธ.ค. 2552
หมายเลข  14539
อ่าน  5,924

พระอภิธรรมปิฎก กถาวัตถุ เล่ม ๔ ภาค ๑ - หน้าที่ 9

๑. ภิกษุผู้ลามกทั้งหลายผู้เป็นชาววัชชีบุตร ผู้เป็นอธรรมวาที ถูกพระเถระผู้เป็นธรรมวาทีทั้งหลายขับออกแล้ว ได้พวกอื่นจึงตั้งคณาจารย์ใหม่.

๒. ภิกษุ ๑ เหล่านั้นมีประมาณหมื่นรูป ได้ประชุมกันรวบรวม คือทำการร้อยกรองพระธรรมวินัย เพราะฉะนั้น การร้อยกรองพระธรรมวินัยนี้ ท่านจึงเรียกว่า "มหาสังคีติ" แปลว่า การร้อยกรองใหญ่.

๓. ภิกษุทั้งหลาย ผู้ทำมหาสังคีติ ได้ทำความขัดแย้งไว้ในพระศาสนา ทำลายสังคายนาเดิม แล้วทำการรวบรวมธรรมวินัย ไว้เป็นอีกอย่างหนึ่ง.

๔. ภิกษุเหล่านั้น ได้แต่งพระสูตรที่สังคายนาไว้แล้วให้เป็นอย่างอื่น และทำลายอรรถและธรรมในพระวินัยในนิกายทั้ง ๕ ด้วย.

๕. อนึ่ง ภิกษุเหล่านั้น ไม่รู้แม้ซึ่งธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงแสดงไว้แล้ว โดยปริยายและทั้งโดยนิปปริยาย ไม่รู้อรรถที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแนะนำไว้แล้ว และ ทั้งไม่รู้จักอรรถที่ควรแนะนำ.

๖. ภิกษุเหล่านั้นๆ ได้กำหนดอรรถไว้เป็นอย่างอื่น จากอรรถที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้โดยหมายเอาอย่างหนึ่ง ได้ยังอรรถมากมายให้พินาศไป เพราะฉายาแห่งพยัญชนะ

๗. ภิกษุเหล่านั้น ละทิ้งพระสูตรบางอย่างและพระวินัยอันลึกซึ้งเสีย แล้วแต่งพระสูตรเทียม พระวินัยเทียมทำให้เป็นอย่างอื่น.

๘. คัมภีร์บริวารอัตถุธาระก็ดี อภิธรรมทั้ง ๖ ปกรณ์ก็ดี ปฏิสัมภิทานิทเทสก็ดี ชาดกบางส่วนก็ดี.

๙. คัมภีร์มีประมาณเท่านี้ ถูกภิกษุเหล่านั้นจำแนกไว้ต่างๆ กันแล้วแต่งให้เป็นอย่างอื่นทั้ง นาม ลิงค์ บริขาร และอากัปปกรณียะ.

๑๐. ภิกษุผู้เป็นหัวหน้าคณะผู้มีวาทะอันแยกกันแล้ว ผู้ทำมหาสังคีติเหล่านั้น ได้พากันละทิ้งซึ่งความเป็นปกตินั้นเสียแล้วแต่งให้เป็นอย่างอื่น.

๑๑. ก็โดยการเรียนแบบอย่าง แห่งภิกษุเหล่านั้น ได้มีลัทธิอันแตกแยกกันขึ้นมากมาย และ ภายหลังแต่กาลนั้นมา ได้เกิดแตกแยกกันขึ้นในมหาสังฆิกะนั้น ดังนี้คือ :-

๑๒. ภิกษุผู้มหาสังฆิกะ ได้แตกแยกกันเป็น ๒ พวก คือ เป็นโคกุลิกะพวกหนึ่ง เป็นเอกัพโยหาริกะพวกหนึ่ง ต่อมาอีกนิกาย โคกุลิกะแตกกันออกเป็น ๒ พวก คือ :-

๑๓. เป็นนิกายพหุสสุติกะพวกหนึ่ง เป็นนิกายบัญญัติพวกหนึ่ง แต่นิกายเจติยะนั้น แตกแยกมาจากพวกมหาสังคีติได้เป็นอีกพวกหนึ่ง.

๑๔. ก็นิกายทั้ง ๕ เหล่านี้ทั้งหมดมีมูลมาจาก พวกทำมหาสังคีติ ที่ทำลายอรรถและธรรม และ ทำลายการสงเคราะห์ธรรมวินัยบางอย่าง.

๑๕. ภิกษุเหล่านั้นละทิ้งคัมภีร์บางคัมภีร์และกระทำให้เป็นอย่างอื่นทั้งนาม ลิงค์ บริขาร และอากัปปกรณียะ.

๑๖. อนึ่ง ในเถรวาทผู้บริสุทธิ์ เหล่าภิกษุ ผู้ละทิ้งปกติภาวะ และกระทำให้เป็นอย่างอื่นนั้น ได้เกิดการแตกแยกกันขึ้นอีก ดังนี้ คือ

๑๗. เป็นมหิสาสกะพวกหนึ่ง เป็นวัชชีปุตตกะพวกหนึ่ง สำหรับพวกวัชชีปุตตกะนั้นได้แตกแยกออกไปอีก ๔ พวก คือ

๑๘. ธัมมุตตริกะ ๑. ภัทรยานิกะ ๑. ฉันนาคาริกะ ๑. สมิติยะ ๑. ในกาลต่อมา พวกมหิสาสกะแตกแยกกันเป็น ๒ พวกอีก คือ

๑๙. เป็นพวกสัพพัตถิกวาทะ และ ธัมมคุตตวาทะ สำหรับสัพพัตถิวาทะยังแตกออกเป็นนิกายกัสสปิกะ ต่อมานิกายกัสสปิกะแตกแยกเป็นนิกายสังกันติกวาทะ.

๒๐. ต่อมาสังกันติกวาทะ แตกกันเป็นสุตตวาที ได้แตกแยกกันมาโดยลำดับดังนี้ วาทะ คือ นิกาย เหล่านี้ทั้ง ๑๑ นิกาย แตกแยกออกไปจากเถรวาททั้งสิ้น.

๒๑. ภิกษุเหล่านั้น ทำลายทั้งอรรถและธรรม ทำการรวบรวมอรรถธรรมไว้บางอย่าง และ ได้ทอดทิ้งคัมภีร์บางคัมภีร์ ทั้งกระทำให้เป็นอย่างอื่น.

๒๒. ตลอดทั้ง นาม ลิงค์ บริขาร และอากัปปกรณียะ ได้พากันละทิ้ง ความเป็นปกติเสียแล้ว.

๒๓. นิกายที่แตกแยกกัน ๑๗ นิกาย นิกายที่ไม่แตกแยกกันมี ๑ นิกาย คือเถรวาท รวมนิกายทั้งหมดเป็น ๑๘ นิกาย อีกอย่างหนึ่งท่านเรียกว่า ตระกูลอาจารย์ ๑๘ ตระกูล.

๒๔. คำสั่งสอนของพระชินะเจ้าเป็นของบริสุทธิ์บริบูรณ์ไม่ยิ่งไม่หย่อน เป็นหลักมั่นคงสูงสุดของเถรวาททั้งหลาย ราวกะต้นไม้ใหญ่ ชื่อว่า นิโครธ ฉะนั้น.

๒๕. นิกายที่เหลือ คือนอกจากเถรวาทเกิดขึ้นแล้ว เป็นดุจกาฝากเกิดอยู่ที่ต้นไม้ นิกายที่แตกแยกกันมาทั้ง ๑๗ นิกายนี้ ไม่มีในร้อยปีแรก แต่ในระหว่างร้อยปีที่ ๒ คือภายในพระพุทธศักราช ๒๐๐ ปี ได้เกิดขึ้นแล้วในศาสนาของพระชินะพุทธเจ้า ด้วยประการฉะนี้แล.

อนึ่ง อาจริยวาท ๖ แม้อื่นอีก คือ ๑. เหมวติกะ ๒. ราชคิริกะ ๓. สัทธัตถิกะ ๔. ปุพพเสลิยะ ๕. อปรเสลิยะ ๖. วาชิริยะ เกิดขึ้นแล้วในกาลนั้นๆ อีก อาจริยวาทเหล่านั้น พระคันถรจนาจารย์ท่านไม่ประสงค์จะกล่าวไว้ในที่นี้.


Tag  นิกาย  
  ความคิดเห็นที่ 1  
 
chatchai.k
วันที่ 6 ก.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ