อินเดีย ...อีกแล้ว16
พระแท่นวัชรอาสน์
เมื่อผู้ร่วมเดินทางไปนมัสการสังเวชนียสถาน ณ ประเทศอินเดีย ทราบว่า ไปอินเดียถึง
๕ ครั้งแล้ว ก็มักจะถามประวัติความเป็นมาของสถานที่ต่างๆ บางครั้งก็ตอบได้ แต่ส่วน
ใหญ่ก็ตอบว่า “ไม่รู้เหมือนกัน” รู้สึกว่าเป็นคำตอบที่ไม่รับผิดชอบและไม่สุภาพอย่างไรก็
ไม่รู้ เมื่อกลับมาจึงค้นจากเว็บไซต์ต่างๆ (ทำผิดขั้นตอนไปหน่อย น่าจะค้นก่อนไป) ได้
ความรู้เพิ่มขึ้นมากมาย คงต้องไปอีกครั้งแน่นอนเพื่อไปดูให้ทั่วตามที่ท่านเขียนไว้
จากเว็บไซต์ของวัดไทยพุทธคยา พระเทพโพธิวิเทศ (ทองยอด ภูลิปาโล) ท่าน
เล่าไว้อย่างละเอียด น่าสนใจมาก มีทั้งหมด ๒๐ หน้า ขอยกข้อความบางตอนมาดังนี้
...ครั้นเมื่อภายหลังพุทธกาลล่วงได้ ๒๐๐ ปีเศษ พระเจ้าอโศกมหาราช กษัตริย์ผู้
ยิ่งใหญ่แห่งชมพูทวีปได้เสด็จไปนมัสการ ณ สถานที่ตรัสรู้นี้เป็นนิจ ทุกครั้งที่พระองค์
เสด็จมาพระองค์ได้นำเครื่องสักการบูชามาเป็นจำนวนมาก เพื่อทรงสักการบูชาแก่ต้น
พระศรีมหาโพธินั้นซึ่งเป็นเสมือนดังตัวแทนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งได้
เสด็จดับขันธปรินิพพานไปแล้ว ด้วยเหตุนี้พระองค์จึงทรงดำริที่จะสร้างเครื่องรองรับ
ของสักการบูชาที่พระองค์ทรงนำมาจากพระราชวัง จึงมีพระราชโองการให้หาช่างที่มี
ฝีมือเข้ามาเฝ้า แล้วทรงปรึกษากับบรรดาช่างเหล่านั้นโดยได้ทรงเสนอแนะให้ข้อคิดถึง
รูปลักษณะในการที่จะสร้างเครื่องรองรับของสักการบูชาเหล่านั้น บรรดาช่างทั้งหลายก็
รับพระบรมราชโองการและร่างแบบแปลนตามพระราชดำริทุกประการ …
...พระเจ้าอโศกมหาราชทรงสร้างพระแท่นวัชรอาสน์เพื่อแทนพระแท่นรัตนบัลลังก์
เก่าที่บังเกิดขึ้นแก่พระตถาคตเจ้าในวันตรัสรู้ หลังจากที่ได้ทรงประดิษฐานพระแท่นที่
รองรับเครื่องสักการบูชาแล้ว พระองค์จึงได้พระราชทานนามแห่งพระแท่นนั้นว่า “พระ
แท่นวัชรอาสน์” ซึ่งหมายความว่า “พระที่นั่งแห่งมหาบุรุษผู้มีใจเพชร”
และเพื่อจะได้เป็นอนุสรณ์แห่งพุทธศาสนิกชนผู้เกิดในรุ่นหลังที่ได้มานมัสการ
ณ สถานที่ตรัสรู้ จะได้รู้และเห็นว่า สถานที่แห่งนี้เป็นที่ซึ่งองค์สมเด็จพระสัมมา
สัมพุทธเจ้าผู้เป็นเอกแห่งโลก ได้ประทับนั่งในวันตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ….
...รูปลักษณะของพระแท่นวัชรอาสน์ เป็นรูปสี่เหลี่ยมด้านขนานสลักด้วยแผ่นหิน
ทรายด้านยาววัดได้ ๗ ฟุต ๖ นิ้ว ด้านกว้างได้ ๔ ฟุต ๑๐ นิ้ว ความหนาวัดได้ ๕ นิ้วฟุต
ครึ่ง ตั้งอยู่บนฐานก่ออิฐฉาบด้วยปูน เมื่อรวมฐานที่ประดิษฐานกับแท่นวัชรอาสน์สูง ๓
ฟุตพอดี ส่วนบนพื้นผิวด้านหน้าของพระแท่นแกะสลักเป็นเชิงศิลปะรูปหัวแหวนเพชร
และมีเพชรซีกประดับอยู่โดยรอบเรือนแหวน ด้านข้างทางทิศเหนือและทิศใต้แกะ
สลักเป็นรูปดอกบัวและรูปห่านหรือพระยาหงษ์ ส่วนด้านต้นพระศรีมหาโพธินั้นแกะ
สลักเป็นรูปดอกมณฑารพ (ACANTHUS) เป็นที่น่าเสียดายที่ด้านทิศตะวันออกนั้น
ได้ถูกเชื่อมติดกับองค์พระเจดีย์มหาโพธิวิหารเสีย เราจึงไม่สามารถที่จะมองเห็น
ได้ว่าเป็นรูปอะไร…
....พระแท่นวัชรอาสน์นี้ได้ถูกทำลายในตอนปลายคริสตศตวรรษที่ ๑๒ แตกออกเป็น
๕ เสี่ยง ต่อมาท่านเซอร์อเล็กซานเดอร์ คันนิงแฮม นักโบราณคดีแห่งอังกฤษได้ทำ
การบูรณปฏิสังขรณ์ โดยนำเอาส่วนต่างๆ มาประกอบกันเข้าในรูปเดิมได้อย่างเรียบ
ร้อย ซึ่งหากเราไม่สังเกตแล้วจะไม่ทราบเลยว่าพระแท่นนี้ได้เคยถูกทำลายมา
แล้ว…
ถ้าได้มากราบนมัสการพระแท่นวัชรอาสน์ในครั้งต่อไป คงจะซาบซึ้งในพระพุทธคุณ
มากขึ้น เมื่อทราบว่าเป็นแท่นที่สร้างขึ้นแทนรัตนบัลลังก์ที่ทรงประทับนั่งในวันตรัสรู้
...เมื่อพระผู้มีพระภาคทรงเสวยข้าวมธุปายาสที่นางสุชาดาถวายแล้ว ในเวลาเย็น
เสด็จข้ามแม่น้ำเนรัญชราไปยังแดนมหาโพธิ์ ทรงรับหญ้ากุสะ ๘ กำมือ จากโสตถิย
พราหมณ์ แล้วเสด็จตรงไปยังต้นพระศรีมหาโพธิ ทรงปูลาดหญ้ากุสะ ๘ กำมือนั้นลง
พลางออกพระโอษฐ์ตั้งพระสัตยาธิษฐานว่า “ถ้าอาตมะจะได้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิ
ญาณแล้วไซร้ ขอจงบังเกิดเป็นรัตนบัลลังก์ขึ้น ณ บัดนี้”
ทันใดนั้น รัตนบัลลังก์ก็ได้อุบัติขึ้นด้วยบุญญาธิการของพระองค์ พระองค์จึงเสด็จขึ้น
ประทับนั่งบนรัตนบัลลังก์นั้นโดยผินพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออกทางแม่น้ำเนรัญชรา
พร้อมกับอธิษฐานจิตอย่างแน่วแน่ว่า
“ถึงเลือดและเนื้อจะเหือดแห้งไป จะยังคงเหลืออยู่แต่เพียงหนัง เส้นเอ็น และ
กระดูกก็ตามที หากข้าพเจ้ายังมิได้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้วไซร้ ข้าพเจ้าจะ
มิยอมลุกขึ้นจากรัตนบัลลังก์นี้”…
...ทรงบรรลุญาณทั้ง ๓ ตามลำดับ คือ บุพเพนิวาสานุสสติญาณ จุตูปปาตญาณ และ
อาสวักขยญาณ ได้ตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ในเวลารุ่งอรุณพอดี
ครั้นได้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว พระองค์ประทับอยู่บนรัตนบัลลังก์นั้น
เสวยวิมุตติสุขสิ้นกาล ๗ วันแล้ว พระองค์เสด็จลุกจากรัตนบัลลังก์มุ่งพระพักตร์ตรง
ไปทางทิศอีสาน ทันใดนั้นพระรัตนบัลลังก์ก็อันตรธานหายไป...
เมื่อได้เห็นแท่นวัชรอาสน์ และรู้ความหมายที่ว่า “พระที่นั่งแห่งมหาบุรุษผู้มีใจเพชร”
แล้ว แล้วความเข้าใจจากการได้ศึกษาธรรมที่พระองค์ตรัสรู้ดีแล้วในคืนวันเพ็ญเดือน ๖
เมื่อ ๒,๕๙๗ กว่าปีมาแล้ว ก็ปรุงแต่งให้เกิดปีติยิ่งนัก แม้มีความเข้าใจธรรมที่ลึกซึ้ง
เพียงน้อยนิด เหมือนจะงอยปากยุงที่จุ่มลงในมหาสมุทร ก็ยังทำให้เกิดความสุขในชีวิต
มากขนาดนี้ เมื่อมีโอกาสได้ฟังสภาพธรรมที่เป็นจริงที่พระองค์ทรงนำมาแสดงตลอด
เวลา ๔๕ พรรษา ก็ยิ่งทำให้มีความศรัทธามั่นคงที่จะศึกษาพระธรรมและน้อมประพฤติ
ปฏิบัติตามต่อไปเพิ่มขึ้น จนกว่าจะถึงที่สุดแห่งทุกข์
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้นด้วยเศียรเกล้า
ขอบูชาพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว
ขออนุโมทนาในกุศลจิตค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ด้วยเศียรเกล้า
กราบอนุโมทนาค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคองค์สมเด็จพระสัมมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
อุตตะมังเคนะ วันเทหัง ปาทะปังสุง วะรุตตะมัง
อุตตะมังเคนะ วันเทหัง ธัมมัญจะ ธุวิธัง วะรัง
อุตตะมังเคนะ วันเทหัง สังฆัญจะ ธุวิโธตตะมัง
พุทธะธัมมะสังเฆสุ โย ขะลิโต โทโส พุทธะธัมมะสังฆา ขะมันตุ ตัง มะมัง
ขอน้อบน้อมละอองธุลีพระบาทของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอันประเสริฐสูงสุดด้วยเศียรเกล้า
ขอนอบน้อมพระธรรมเจ้าอันประเสริฐทั้งสองประการด้วยเศียรเกล้า
ขอนอบน้อมพระสงฆเจ้าอันประเสริฐทั้งสองประการด้วยเศียรเกล้า
โทษที่ข้าพเจ้าได้ทำพลั้งพลาดแล้วในพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ ขอพระพุทธ พระ
ธรรมและพระสงฆ์ทั้งหลาย จงงดซึ่งโทษที่ข้าพเจ้าได้ทำพลั้งพลาดแล้วอันนั้นแก่ข้าพเจ้า