ทบทวนเรื่องของปัจจัย [๖]

 
พุทธรักษา
วันที่  4 ธ.ค. 2552
หมายเลข  14489
อ่าน  1,128

ขอนอบน้อมแด่พระผู้พระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

สุ. เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคฯ จึงทรงแสดงว่าในขณะที่เป็นชวนจิต ขณะใด มีฉันทะเป็นอธิปดี หรือมีวิริยะเป็นอธิปดี หรือมีปัญญาเป็นอธิปดี หรือมีจิตเป็นอธิปดี ทรงแสดงเพื่อเหตุใด เพื่อจะให้เห็นว่า แม้ในขณะที่เป็นโลภะ หรือขณะที่กำลังเป็นกุศลขณะนั้น เป็นเพียงสภาพธรรมหนึ่งสภาพธรรมใดที่กำลังปรากฏ ลักษณะที่เป็นหัวหน้า (เป็นอธิปดี) ขณะนั้น ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ทั้งสิ้นแต่เป็นเพียงสภาพธรรมที่มีลักษณะเช่นนั้นเกิดขึ้น และ เป็นไป เพราะอาศัยสภาพธรรมหนึ่งสภาพธรรมใด เป็นอธิปดี เพื่อที่จะได้เห็นถึง "ความเป็นอนัตตาของชวนจิต" ในขณะที่เป็น กุศล หรือ อกุศล นั้นเอง

ถ. ที่อาจารย์กล่าวว่า สหชาตาธิปติปัจจัยนั้น ยกเว้นจิต ๓ ประเภทคือ โมหมูลจิต ๒ ประเภท กับ หสิตุปปาทจิตจึงอยากถามว่า กริยาจิตที่เกิดในวิถีจิตทางปัญจทวาร กับโวฏฐัพพนจิตทางมโนทวาร เป็นสหชาตาธิปติ ได้ไหม

สุ. ขณะนั้นๆ ไม่ได้ทำชวนกิจค่ะ (คือ ไม่ใช่ชวนจิต) อย่าลืมนะคะ เมื่อประมวลและสรุปแล้วสหชาตาธิปติปัจจัย จะเกิดได้กับเฉพาะขณะที่เป็น "ชวนจิต" เท่านั้น เพราะฉะนั้น ขณะที่ กริยาจิต (ของปุถุชน) ซึ่งไม่ได้กระทำชวนกิจขณะนั้น ไม่มีสหชาตาธิปติปัจจัย

ถ. หมายความว่า จิตที่ไม่ได้เป็นสหชาตธิปติปัจจัยนั้น รู้ไม่ได้ทั้งหมดเหรอครับ

สุ. ท่านผู้ฟังจะรู้ได้ไหม ตามความเป็นจริงในชีวิตประจำวันนี้น่ะค่ะขณะที่จักขุวิญญาณจิต เกิดขึ้นขณะเดียวเท่านั้นแล้วดับไป อย่าลืมนะคะ ที่ดูเสมือนว่าเห็นอยู่ตลอดเวลา ไม่ได้ดับเลยนั้นตามความเป็นจริงแล้ว จักขุวิญญาณจิตเกิดขึ้นขณะเดียวแล้วดับไปสัมปฏิจฉันนจิตเกิดต่อดับแล้วดับไป สันตีรณจิตเกิดต่อแล้วดับไปโวฏฐัพพนจิตเกิดต่อแล้วดับไปแล้ว ชวนจิตเกิดดับสืบต่อกันถึง ๗ ขณะ ซึ่งทำให้รู้ว่าสิ่งใด กำลังปรากฏทางตา.ถ้ามีแต่เฉพาะจักขุวิญญาณจิตเพียงขณะเดียวแท้ๆ โดยที่ชวนจิตไม่ได้เกิดขึ้นรู้อารมณ์ (คือ สิ่งที่ปรากฏทางตา) ทางปัญจทวารพอที่จะให้รู้ได้ไหม ว่าสภาพธรรมใด กำลังปรากฏทางปัญจทวาร

เพราะฉะนั้น ในอรรถกถา จึงได้กล่าวว่าที่จะรู้อารมณ์ได้ ต้องเป็นขณะชวนวิถีจิต เพราะเหตุว่าขณะที่เป็นชวนจิตนั้น มีการเกิด-ดับ-สืบต่อซ้ำกันถึง ๗ ขณะ ก็หมายความว่า ทุกวันนี้ที่เราเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น รู้รส รู้โผฐฐัพพะ คือขณะที่เห็นโต๊ะ เห็นเก้าอี้ แล้วมีความพอใจ หรือไม่พอใจนั้น เป็นชวนจิตทั้งหมดหรือไม่ ขณะนั้น ต้องเป็นชวนจิตแน่นอน ขณะที่พอใจ หรือ ไม่พอใจ หรือเฉยๆ ขณะนั้น จะเป็นโลภมูลจิตก็ดี หรือโทสมูลจิตก็ดี โมหมูลจิตก็ดีหรือ มหากุศลจิต กามาวจรกุศลจิตก็ดีนะคะขณะนั้น เป็นชวนจิต ทั้งหมด

ถ. ขณะที่เห็นแล้วเกิดความพอใจ หรือไม่พอใจนั้น จะรู้ได้หรือเปล่า ว่าที่พอใจ หรือไม่พอใจนั้น เป็นปัญจทวารวิถีจิต หรือว่า เป็นมโนทวารวิถีจิต

สุ. ถ้ามโนทวารวิถีไม่ปรากฏ ขณะนั้นจะไม่รู้ว่าเป็นมโนทวารวิถีจิต มโนทวารวิถีจิต เกิดต่อจากปัญจทวารวิถีจิต ทุกครั้งในการเห็นครั้งหนึ่ง จะมีแต่ปัญจทวารวิถีจิตเกิดเท่านั้นไม่ได้ ได้ยินครั้งหนึ่ง จะมีแต่โสตทวารวิถีจิตเกิดเท่านั้นไม่ได้ เมื่อปัญจทวารวิถีจิตดับไปหมดแล้ว ภวังคจิตเกิดต่อแล้วมโนทวารวิถีจิตเกิดต่อทุกครั้งไม่ว่าจะเป็นทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น หรือทางกาย คำว่า "วิถีจิต" คงไม่ลืมว่า ขณะใดที่ไม่ใช่ "ภวังคจิต" ไม่ใช่ "ปฏิสนธิจิต" ไม่ใช่ "จุติจิต" ต้องเป็น "วิถีจิต" ทั้งหมด เพราะฉะนั้น จักขุวิญญาณ เป็นจักขุวิญญาณวิถีจิตสัมปฏิจฉันนจิต ก็เป็นวิถีจิต สันตีรณจิต ก็เป็นวิถีจิตจิตใดที่ไม่ใช่ปฏิสนธิจิต ไม่ใช่ภวังคจิต ไม่ใช่จุติจิต เป็นวิถีจิตทั้งนั้น

เพราะฉะนั้น ขณะมีการเห็นสิ่งที่กำลังปรากฏทางตาครั้งหนึ่งๆ นั้นในบางครั้ง เมื่อจักขุทวารวิถีจิต ดับไปแล้ว จักขุวิญญาณจิต เกิดและดับไปแล้วสัมปฏิจฉันนจิต เกิดและดับไป แล้วสันตีรณจิต เกิดและดับไป แล้วโวฏฐัพพนจิต เกิดและดับไป ... แต่ "อารมณ์" ดับไปก่อน ทำให้ชวนจิตเกิดต่อไม่ได้ขณะนั้นน่ะ จะรู้ไหม ว่าเห็นอะไร ในเมื่อชวนจิตวิถีจิตไม่เกิด

ถ. แต่ว่า ปัญจทวาราวัชชนจิตเกิดแล้ว จักขุวิญญาณจิตเกิดแล้วสัมปฏิฉันนจิตเกิดแล้ว สันตีรณจิตเกิดแล้ว โวฏฐัพนจิตเกิดแล้ว ก็ต้องไม่รู้อะไรสิครับ

สุ. เพราะฉะนั้น ขณะที่กำลังเห็นอยู่เดี๋ยวนี้ คือ "ขณะ" ที่จะศึกษา เพื่อรู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏว่าเป็นนามธรรม หรือ รูปธรรมไม่ใช่เจาะจงที่จะไปรู้ตรงลักษณะของจักขุวิญญาณ แต่ เป็น "ขณะที่ชวนจิตกำลังรู้ในอารมณ์ที่ปรากฏทางตา" คือ ขณะที่กำลังมี "สี" คือ สีสันวรรณะต่างๆ ซึ่งกำลังเป็นอารมณ์ของชวนจิต ซึ่งเกิดขึ้นรู้อารมณ์ (สี) ซ้ำกัน ๗ ขณะ และไม่ใช่เพียงแต่เฉพาะวิถีเดียว หรือครั้งเดียวของการเห็นนะคะ เพราะเหตุว่า ขณะนี้ เมื่อจักขุวิญญาณในวิถีหนึ่งดับไปแล้วก็มีภวังจิตเกิดขั้น และ มีมโนทวารวิถีจิตเกิดขั้นแล้วก็มีจักขุวิญญาณเกิดขึ้นอีก จึงทำให้ดูเหมือน (การเห็น) ไม่ดับเลย แต่ที่จะพิจารณารู้ได้นั้น ต้องในขณะที่เป็น "ชวนวิถีจิต"

ถ. ผู้ที่มโนทวารวิถีจิตยังไม่ปรากฏ ก็เลยไม่มีทางรู้เลยว่า ขณะที่เห็น แล้วเกิดพอใจ หรือ ไม่พอใจนั้นเป็นมโนทวารวิถีจิต หรือว่าเป็นปัญจทวารวิถีจิต

สุ. เมื่อไม่ปรากฏ ก็รู้ไม่ได้ เป็นของธรรมดา แต่ศึกษาได้ เพื่อที่จะได้ปรากฏเมื่อปรากฏแล้ว ก็รู้ แต่ถ้าไม่ปรากฏ ก็รู้ไม่ได้

ข้อความบางตอนจากเทปชุดปัฏฐาน (ปัจจัย ๒๔) ตอนที่ ๕

โดย อาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์

ขออนุโมทนา


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
wannee.s
วันที่ 5 ธ.ค. 2552

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
chatchai.k
วันที่ 18 ก.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ