ตปุสสะ และ ภัลลิยะ

 
khampan.a
วันที่  1 ธ.ค. 2552
หมายเลข  14400
อ่าน  3,473

[เล่มที่ 50] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ - หน้าที่ ๙๖

ได้ยินว่า พระเถระนี้ (พระภัลลิยะ) ในกัปที่ ๓๑ แต่ภัทรกัปนี้ เมื่อพระพุทธเจ้ายังไม่เสด็จอุบัติขึ้น เป็นผู้มีจิตเลื่อมใสถวายผลาผล แก่พระปัจเจกสัมพุทธเจ้า นามว่าสุมนะ ท่องเที่ยวอยู่แต่ในสุคติภพทั้งหลายเท่านั้น เกิดในตระกูลสัตถวาหะ (พ่อค้าที่มีเกวียนเป็นพาหนะ) พระนครอรุณวตี ในกาลของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า สิขี, ได้สดับว่า บุตรพ่อค้า ๒ คน คือ ชื่อว่าอุปชิตะ และอุชิตะ ได้ถวายอาหารครั้งแรก แด่พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงพระนามว่า สุขี ผู้ได้ตรัสรู้ธรรมาภิสมัยก่อนคนอื่น จึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าพร้อมด้วยสหายของตน ถวายบังคมแล้วทูลอาราธนาเพื่อเสวยพระกระยาหาร ในวันรุ่งขึ้นถวายมหาทานแล้ว ตั้งความปรารถนาว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ แม้ทั้งสอง พึงเป็นผู้ได้ถวายอาหารครั้งแรกแด่พระพุทธเจ้า ผู้เช่นกับพระองค์ในอนาคตกาล ดังนี้. คนทั้งสอง กระทำบุญกรรมในภพนั้นๆ แล้ว ท่องเที่ยวไปในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ในกาลของพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดเป็นบุตรเศรษฐีผู้เลี้ยงวัว เป็นพี่น้องกัน เขาทั้งสองได้บำรุงพระภิกษุสงฆ์ ด้วยโภชนะปรุงด้วยน้ำนม ตลอดปีเป็นอันมาก, แต่ในกาลแห่งพระพุทธเจ้าของเราทั้งหลาย เกิดเป็นบุตรของพวกสัตถวาหะ ในโปกขรวดีนครได้เป็นพี่น้องกัน ในสองพี่น้องนั้น ผู้เป็นพี่ชื่อตปุสสะ ผู้เป็นน้องชื่อ ภัลลิยะ * . เขาทั้งสอง บรรทุกของเต็มเกวียน ๕๐๐ เล่ม เดินทางไปค้าขาย เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าแรกตรัสรู้พระสัมมาสัมโพธิญาณ ทรงยับยั้งอยู่ตลอด ๗ สัปดาห์ ด้วยการพิจารณาธรรมคือสุขอันเกิดแต่วิมุตติ ในสัปดาห์ที่ ๘ ทรงประทับนั่งอยู่ที่โคนต้นเกด ก็เดินทางล่วงทางใหญ่ ไปใกล้ต้นเกต ในสมัยนั้น เกวียนของเขาทั้งสองไม่ยอมเคลื่อนที่แม้ในภูมิภาคที่ราบเรียบ ไม่มีหล่มไม่มีโคลน เมื่อพ่อค้าสองพี่น้องพากันคิดอยู่ว่าเหตุอะไร หนอแล ดังนี้ เทวดาผู้เคยเป็นญาติสายโลหิต ก็แสดงตัวในระหว่างค่าคบไม้บอกว่า ดูก่อนท่านผู้นิรทุกข์ พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นี้ ตรัสรู้พระสัม-โพธิญาณได้ไม่นาน ไม่ได้เสวยพระกระยาหารมาตลอด ๗ สัปดาห์ เสวยวิมุตติสุขแล้ว บัดนี้ ประทับนั่งอยู่ที่โคนต้นเกด การที่ท่านทั้งสองน้อมนำอาหารเข้าไปถวายพระองค์นั้น จะพึงเป็นไป เพื่อประโยชน์เกื้อกูลและความสุข แก่ท่านทั้งหลายสิ้นกาลนาน. พ่อค้าสองพี่น้อง ฟังคำนั้นแล้ว เสวยปีติโสมนัสอย่างยิ่ง สำคัญว่าการจัดอาหารจักเป็นความเนิ่นช้า จึงถวายสัตตูผงและสัตตูก้อน แด่พระผู้มีพระภาคเจ้า ถึงเทววาจิกสรณคมน์ (ถึงพระพุทธและพระธรรมว่าเป็นสรณะ) ได้พระเกศธาตุไปบูชา หลีกไปแล้ว. ก็พ่อค้าทั้งสองนั้น ได้เป็นอุบาสกก่อนผู้อื่น. ครั้นเมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้า เสด็จไปยังกรุงพาราณสี ประกาศพระธรรมจักรแล้วประทับอยู่ในพระนครราชคฤห์โดยลำดับ ตปุสสะและภัลลิยะ จึงเข้าไปสู่พระนครราชคฤห์ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วถวายบังคม นั่ง ณ ส่วนข้างหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงธรรมแก่เขาทั้งสอง ในพ่อค้าทั้งสองนั้น ตปุสสะ ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผลแล้วได้เป็นอุบาสกอย่างเดียว ส่วนภัลลิยะ บวชแล้ว ได้เป็นผู้มีอภิญญา ๖

* * (หมายเหตุ บางแห่ง เป็นภัลลิยะ บางแห่ง เป็นภัลลิกะ ครับ)


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
saifon.p
วันที่ 2 ธ.ค. 2552

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
kanchana.c
วันที่ 2 ธ.ค. 2552

ขอบพระคุณคุณคำปั่นที่เพิ่มข้อมูลที่มีประโยชน์มาก เคยไปที่ชเวดากอง ประเทศพม่า มัคคุเทศก์อธิบายว่า ชเวดากองเป็นที่บรรจุพระเกศธาตุของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าที่พ่อค้าชาวพม่า ๒ คนนำมา ยังคิดว่า มัคคุเทศก์และชาวพม่าแต่งขึ้นเองในภายหลัง เมื่อเห็นข้อความในพระไตรปิฎกเช่นนี้ ก็เป็นเหตุผลที่น่าเชื่อถือได้ แต่ไม่ทราบว่าโปกขรวดีคือประเทศพม่าหรือไม่

ถ้ามีข้อความอะไรที่คิดว่า เมื่อเพิ่มเติมแล้วจะทำให้สมบูรณ์ขึ้น ก็ขอความกรุณาช่วยเพิ่มเติมให้ด้วย เพราะพี่มีความรู้ตื้นๆ เพียงแต่อยากเขียนเท่านั้น นึกว่ามาช่วยกันเขียนพุทธประวัติฉบับ dhammahome.com ก็แล้วกันนะคะ

อนุโมทนาในกุศลจิต

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
วิริยะ
วันที่ 14 ธ.ค. 2552

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
chatchai.k
วันที่ 17 ต.ค. 2564

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ