เป้าหมายที่พระพุทธเจ้าชี้ทางไว้

 
kitty
วันที่  7 ส.ค. 2552
หมายเลข  13116
อ่าน  1,297

ขอให้พูดถึงการชี้ทางให้สรรพสัตว์ของพระพุทธเจ้า

โดยไม่ต้องใช้บาลี ไม่ต้องใช้ตำราหรือท่องจำมากมาย

หรือต้องทำความเข้าใจซับซ้อนมาก จนเป็นเหมือนพระไตรปิฏกเคลื่อนที่

เวลามีน้อย เอาแบบฟังง่าย ปฏิบัติได้เลย

ท่านเก่งมาก แต่อยากให้ช่วยพูดถึง เป้าหมายที่พระพุทธเจ้าชี้ทางไว้

ด้วยถ้อยคำไทยๆ พื้นๆ ฟังง่ายๆ แบบไม่ใช่ตำรา ไม่ต้องแปล

ขอบคุณมากๆ อนุโมทนาค่ะ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
prachern.s
วันที่ 7 ส.ค. 2552

พุทธประสงค์ที่แสดงพระธรรมตลอด ๔๕ พรรษา คือ เพื่อให้สัตว์ทั้งหลายรู้ความจริง เพราะผู้ที่รู้ความจริงย่อมพ้นจากทุกข์ได้ แต่ต้องทราบว่า ความไม่รู้สะสมกันมาเยอะมาก จะเอาออกโดยวิธีง่ายๆ โดยไม่ศึกษาโดยละเอียด ไม่ใช้เวลาอย่างมาก เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ แม้วิชาการทางโลกเพียงเพื่อประกอบอาชีพเรายังต้องใช้เวลาศึกษาฝึกหัดกันเป็นหลายสิบปีจึงจะประกอบอาชีพได้ ทางธรรมคืออบรมเจริญปัญญาเพื่อดับความไม่รู้ และกิเลสตัณหา ซึ่งมีมาก ต้องอาศัยกาลเวลาที่มากกว่าหลายเท่า จึงจะถึงเป้าหมายที่พระพุทธองค์ทรงแนะนำไว้ คือการรู้ความจริงในขณะนี้ครับ

ขอเชิญทุกท่านร่วมสนทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
พุทธรักษา
วันที่ 7 ส.ค. 2552

เคยเรียนถามท่านอาจารย์ ว่า

"พระพุทธเจ้าตรัสรู้อะไรคะ.?"
ท่านตอบว่า
"สิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้ค่ะ.!"
เพียงสั้นๆ แค่นี้...ฟังดูพื้นๆ ...?ฟังดูง่ายๆ ....?ไม่ใช่ภาษาบาลีที่ต้องแปล......?
สั้นๆ แค่นี้.....รู้ได้จริงๆ หรือเปล่า.!

ถ้ารู้จริงๆ .........รู้ว่าอย่างไรล่ะคะ.?



 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
khampan.a
วันที่ 7 ส.ค. 2552

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงตรัสรู้และทรงแสดงนั้น มีความละเอียดลึกซึ้งยากที่จะตรัสรู้ตามได้ เป็นธรรมอันบัณฑิตเท่านั้นที่จะรู้ได้ ธรรมจึงไม่ง่าย เพราะกว่าที่พระผู้มีพระภาคเจ้าจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้านั้น พระองค์ต้องใช้เวลาอันยาวนานในการบำเพ็ญพระบารมี (สี่อสงไขยแสนกัปป์) และตลอดระยะเวลา ๔๕ พรรษา ในการประกาศพระศาสนาของพระองค์นั้น ก็เพื่ออนุเคราะห์สัตว์โลกให้หลุดพ้นจากทุกข์ หมดจดจากกิเลสโดยประการทั้งปวง จากการแสดงพระธรรมของพระองค์ในแต่ละครั้งๆ นั้น มีผู้ที่ได้รู้แจ้งอริยสัจจธรรม บรรลุถึงความเป็นพระอริยบุคคลขั้นต่างๆ เป็นจำนวนมากมาย และพระอริยบุคคลทั้งหลายเหล่านั้นกว่าจะได้บรรลุ ท่านก็ได้สะสมการสดับตรับฟังพระธรรม สะสมปัญญามาเป็นเวลาอันยาวนานด้วยกันทั้งนั้น สำหรับผู้ที่มีโอกาสได้ฟังได้ศึกษาพระธรรมในยุคนี้ ก็ไม่ควรที่จะท้อแท้ ยิ่งยากยิ่งจะต้องศึกษา เพราะปัญญาไม่สามารถจะเจริญขึ้นได้ภายในระยะเวลาอันสั้นๆ จึงค่อยๆ ฟังค่อยๆ ศึกษาไปตามลำดับ ไม่ใจร้อน วันนี้ พรุ่งนี้ หรือ ชาตินี้ ยังไม่พอต้องสะสมความเข้าใจต่อไปอีกเป็นเวลาอันยาวนาน (จิรกาลภาวนา) ครับ ..

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
happyindy
วันที่ 7 ส.ค. 2552

ขออนุโมทนาค่ะ

แหม..... พระธรรมไม่ใช่ fastfood นะคะ

จะได้โทรสั่งให้ช่วย delivery เลือกสรรเมนู set นั้น set นี้ ได้ตามใจชอบ

(ก็ชาวตะวันตกยังเรียกอาหารจานด่วนของตัวเองว่า junkfood-อาหารขยะ เลยอ่ะ

แต่ว่านะ ของซื้อง่าย กินอิ่มไว ได้ของแถมทำร้ายร่างกายเพียบ คนก็ช้อบชอบ)

แล้วคุณ kitty จะแน่ใจได้ยังไงละคะว่าอะไรที่มันง่าย ไม่ต้องใช้เวลาศึกษา

จะเป็นของแท้ ของดี ของมีประโยชน์ ไม่ให้โทษ เป็นสิ่งที่คงทนไม่มีวันเปลี่ยน

ถ้าจะใช้ หรือจะปฏิบัติอะไร ก็น่าจะศึกษาสิ่งนั้นหรือเรื่องนั้นกันให้นานๆ หน่อย

ดีไม่ดีจะงานกร่อย เพราะอินดี้ก็เคยกร่อยมาแล้ว

แล้วเอ่อ..... ว่าแต่ว่า

จะไม่ลองเสพอาหารที่สะอาด ประณีต มีแต่คุณประโยชน์

ผสมจากเครื่องปรุงมากมายจาระไนเจ็ดเดือนไม่หมด

แถมใช้เวลาในการเตรียมและปรุง

น้านนาน (ประมาณ...ใส่เลขไม่ถ้วนอ่ะ) ดูบ้างเหรอคะ

รับรองความอร่อย จริงๆ นะ จะบอกให้

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
orawan.c
วันที่ 8 ส.ค. 2552

ทรงตรัสรู้ความจริง คือสิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้

ซึ่งรู้ได้ ๖ ทาง คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ

โดยต้องศึกษาอย่างละเอียดมากๆ จึงรู้ตามได้

เพราะพระธรรมลึกซึ้งและเห็นตรงตามจริงยากมากจริงๆ

เช่น กล่าวว่า ธรรมะ คือสิ่งที่มีจริง ทรงไว้ซึ่่งสภาวะ ลักษณะของตนๆ

ไม่ใช่ สัตว์ บุคคล ตัวตน หรือสิ่งหนึ่งสิ่งใด

เกิดแล้วดับตามเหตุปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา

ของใคร

ต้องศึกษาอบรมปัญญานานมากๆ ปัญญาจึงเกิดรู้จริงตามได้

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
suwit02
วันที่ 8 ส.ค. 2552

พระดำรัสสุดท้ายก่อนปรินิพพานของพระศาสดา คือ

สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา

พวกเธอจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด

อย่างไรจึงชื่อว่า ไม่ประมาท

เห็นจะต้องเริ่มต้นด้วย ความไม่ประมาทในการศึกษาพระพุทธวจนะ

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
wannee.s
วันที่ 8 ส.ค. 2552

จุดมุ่งหมายที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรม เพื่อละกิเลส เพื่อให้สัตว์โลกพ้นทุกข์ เพื่อ

ให้เข้าถึงความจริงว่าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นธรรมะ ไม่เที่ยง เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ไม่ใช่สัตว์

บุคคล ตัวตน แต่เพราะความไม่รู้จึงยึดถือสภาพธรรมะทั้งหลายว่าเป็นสัตว์ บุคคล ตัวตน

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
จักรกฤษณ์
วันที่ 8 ส.ค. 2552

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
คุณ
วันที่ 8 ส.ค. 2552

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
Sam
วันที่ 8 ส.ค. 2552

พุทธะคือ ผู้รู้ ผู้ตื่น และผู้เบิกบานครับ

พระผู้มีพระภาคทรงสั่งสอนให้สาวกเป็นพุทธะ

แต่ถ้าหากเรารู้แล้ว ตื่นแล้ว หรือเบิกบานแล้ว

หรือหากการรู้ การตื่น และการเบิกบานนั้น

เป็นสิ่งที่ง่าย ไม่ต้องใช้ความพยายาม

ก็คงไม่จำเป็นต้องอาศัยพระศาสดาผู้เลิศกว่าใคร

ทรงตรัสรู้และทรงสั่งสอนด้วยพระวิริยะและอุตสาหะ

ผู้ที่ยังไม่บรรลุตามคำสอนของพระผู้มีพระภาค

ย่อมไม่ใช่ พุทธะ

และยังคงเป็นผู้ไม่รู้ เป็นผู้หลับอยู่ และเป็นผู้ที่เศร้าหมองอยู่

หนทางปฏิบัติจึงต้องเริ่มต้นจากการศึกษาครับว่า

เรายังไม่รู้อะไร หลับอยู่และเศร้าหมองอยู่อย่างไร

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
กิเลสเน่าหนา
วันที่ 9 ส.ค. 2552

กิเลสหนาแต่ปัญญาไม่ได้หนาตามจึงต้องช้าแน่นอนครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
กิเลสเน่าหนา
วันที่ 9 ส.ค. 2552

ว่าด้วยพระคุณ ๘ ประการ [๑] ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นี้ ทรงปฏิบัติเพื่อความเกื้อกูลแก่ชนจำนวนมาก เพื่อความสุขแก่ชนจำนวนมาก เพื่ออนุเคราะห์แก่ชาวโลก เพื่อประโยชน์ เพื่อความเกื้อกูล เพื่อความสุขแก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เราไม่พิจารณาเห็นศาสดาที่ปฏิบัติ เพื่อความเกื้อกูลแก่ชนจำนวนมากเพื่อความสุขแก่ชนจำนวนมาก เพื่ออนุเคราะห์แก่ชาวโลก เพื่อประโยชน์เพื่อความเกื้อกูล เพื่อความสุขแก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายผู้ประกอบพร้อมด้วยองค์ แม้นี้ ไม่ว่าจะเป็นส่วนอดีต และไม่ว่าในปัจจุบันนี้นอกจากพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น. [๒] พระธรรมของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น พระองค์ตรัสไว้ดีแล้ว เป็นธรรมที่พึงเห็นเอง ไม่ประกอบด้วยกาล เรียกให้มาดูได้ น้อมมาในตนพวกผู้รู้พึงทราบเฉพาะตน. เราไม่พิจารณาเห็นศาสดาผู้แสดงธรรมที่น้อมเอามาใช้ได้อย่างนี้ ผู้ประกอบพร้อมด้วยองค์แม้นี้ ไม่ว่าจะเป็นส่วนอดีตและไม่ว่าในปัจจุบันนี้ นอกจากพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น.
[๓] พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติไว้แล้วอย่างดีว่า นี้เป็นกุศล นี้เป็นอกุศล นี้เป็นโทษ นี้ไม่มีโทษ นี้พึงเสพ นี้ไม่พึงเสพ นี้เลวนี้ประณีต นี้ดำ ขาว มีส่วนคล้ายกัน . เราไม่พิจารณาเห็นศาสดาที่บัญญัติธรรมที่เป็นกุศล อกุศล มีโทษ ไม่มีโทษ พึงเสพ พึงไม่เสพ เลวประณีตดำ ขาว มีส่วนคล้ายกันอย่างนี้ ผู้ประกอบพร้อมด้วยองค์แม้นี้ ไม่ว่าจะเป็นส่วนอดีต และไม่ว่าในปัจจุบันนี้ นอกจากพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น.
[๔] พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติข้อปฏิบัติสำหรับไปถึงพระนิพพานแก่สาวกทั้งหลาย ทั้งพระนิพพาน ทั้งข้อปฏิบัติ ก็กลมกลืนกันไว้เป็นอย่างดีแล้ว น้ำจากแม่น้ำคงคา กับน้ำจากแม่น้ำยมุนา ย่อมกลมกลืนกันเข้ากันได้อย่างเรียบร้อย แม้ฉันใด พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นก็ทรงบัญญัติข้อปฏิบัติสำหรับไปถึงพระนิพพาน แก่พระสาวกทั้งหลายทั้งพระนิพพาน ทั้งข้อปฏิบัติก็กลมกลืนกัน เป็นอย่างดีแล้ว ฉันนั้นนั่นเทียว.เราไม่พิจารณาเห็นศาสดาเป็นผู้บัญญัติข้อปฏิบัติสำหรับไปถึงพระนิพพานได้อย่างนี้ ผู้ประกอบพร้อมด้วยองค์แม้นี้ ไม่ว่าจะเป็นส่วนอดีตและไม่ว่าในปัจจุบันนี้ นอกจากพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น.
[๕] พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ทรงได้พระสหายแห่งข้อปฏิบัติของพระผู้ยังต้องศึกษาอีกเทียว และพระผู้สิ้นอาสวะ อยู่จบวัตรแล้วพระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ทรงติดด้วยข้อปฏิบัติและวัตรนั้นทรงตามประกอบความเป็นผู้เดียว เป็นที่มาแห่งความยินดีอยู่เราไม่พิจารณาเห็นศาสดาที่ตามประกอบความเป็นผู้ยินดีในความเป็นผู้เดียวอย่างนี้ ผู้ถึงพร้อมด้วยองค์แม้นี้ไม่ว่าจะเป็นส่วนอดีต และไม่ว่าในปัจจุบันนี้ นอกจากพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น
[๖] ลาภสำเร็จอย่างยิ่ง ชื่อเสียงก็สำเร็จอย่างยิ่งแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นปานกับพวกกษัตริย์ทรงพระศิริโฉม สง่า น่ารักอยู่ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นแล ทรงปราศจากความเมา เสวยพระอาหารเราไม่พิจารณาเห็นศาสดาที่ปราศจากความเมาบริโภคอาหารอยู่อย่างนี้ผู้ถึงพร้อมด้วยองค์แม้นี้ ไม่ว่าจะเป็นส่วนอดีต และไม่ว่าในปัจจุบันนี้นอกจากพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น.[๗] พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ทรงเป็นผู้มีปกติตรัสอย่างไรก็ทรงมีปกติทำอย่างนั้น ทรงมีปกติทำอย่างไร ก็ทรงมีปกติตรัสอย่างนั้น ด้วยประการฉะนี้ ก็เป็นอันว่าทรงเป็นผู้มีปกติตรัสอย่างไร ก็ทรงมีปกติทำอย่างนั้นทรงมีปกติทำอย่างไร ก็ทรงมีปกติตรัสอย่างนั้น.เราไม่พิจารณาเห็นศาสดาที่ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมอย่างนี้ ผู้ประกอบพร้อมด้วยองค์แม้นี้ไม่ว่าจะเป็นส่วนอดีต และไม่ว่าในปัจจุบัน ยกเว้น แต่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น.
[๘] พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ทรงข้ามความสงสัยได้แล้วปราศจากความเคลือบแคลง สิ้นสุดความดำริ เกี่ยวกับอัชฌาสัยเกี่ยวกับ ข้อปฏิบัติอันเป็นส่วนเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์.เราไม่พิจารณาเห็นศาสดา ที่ข้าม ความสงสัยได้ปราศจากความเคลือบแคลง สิ้นสุดความดำริ เกี่ยวกับอัชฌาสัยเกี่ยวกับ ข้อปฏิบัติอันเป็นส่วนเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์อย่างนี้ ผู้ประกอบพร้อมด้วยองค์แม้นี้ ไม่ว่าจะเป็นส่วนอดีต ไม่ว่าในปัจจุบันนี้ ยกเว้นแต่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น พระพุทธเจ้าข้า ท้าวสักกะจอมเทพได้ตรัสถึงพระคุณตามที่เป็นจริง ๘ ประการ ของพระผู้มีพระภาคเจ้าเหล่านี้แลแก่ทวยเทพชั้นดาวดึงส์. เจ้าของกระทู้อ่านข้อความนี้แล้วคงจะเข้าใจในความยากยิ่งของการตรัสรู้ธรรมขึ้นบ้างน่ะครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
ทศพล.com
วันที่ 9 ส.ค. 2552

พอดีเห็นท่านอื่นเขียนมาข้างบนมาพอสมควรผมขอโทษด้วยที่ยังไม่ได้อ่านทั้งหมด แต่ของผมขอแสดงความคิดเห็น คำเดียวสั้นๆ ธัม แต่ใช่ว่าผมจะเข้าใจ สั้นๆ ง่ายๆ แต่ไม่ชัดเจน ยากมากครับ

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
Pongpat
วันที่ 12 ส.ค. 2552

ลองบอกคนที่เค้าเรียนภาษาสำนวนต่างประเทศ ให้เลิกเรียนแล้วมาพูดแต่ภาษาไทย ก็คงจะไม่ได้นะครับ เพราะแต่ละโลก มีคำที่ส่องไปถึงความหมายที่ไม่สามารถแทนกันได้ โดยต้องอาศัยการขยายความให้ละเอียด โลกธรรมะ ขาดการศึกษาพระไตรปิฎก ไม่ได้นะครับ และเป็นสิ่งสูงสุด เป็นองค์แทนพระศาสดา ที่สืบทอดกันมาจนถึงขณะนี้

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ