ปัญญาจำปรารถนาในที่ทั้งปวง

 
ups
วันที่  1 ส.ค. 2552
หมายเลข  13042
อ่าน  1,733

ปัญญาจำปรารถนาในที่ทั้งปวง หมายความว่าอย่างไร


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
prachern.s
วันที่ 2 ส.ค. 2552

ในพระไตรปิฎกและอรรถกถามีแสดงว่า สติจำปรารถนาในที่ทั้งปวง ดังข้อความจากอรรถกถาทีฆนิกายและมัชฌิมนิกายดังนี้.......คำว่า มีสติ คือประกอบด้วยสติกำกับกาย. ก็ภิกษุรูปนี้กำหนดอารมณ์ ด้วยสติพิจารณาเห็นด้วยปัญญา ธรรมดาว่าปัญญาพิจารณาเห็นของผู้เว้นจากสติ ย่อมมีไม่ได้ ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัส (สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค) ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวว่าสติแลจำปรารถนาในที่ทั้งปวง

...เพราะฉะนั้น สตินั้น จึงจำต้องปรารถนาในที่ทั้งปวง เหมือนการปรุงรสด้วยเกลือจำปรารถนาในการปรุงอาหารทุกอย่าง และเหมือนอำมาตย์ผู้ชำนาญในราชกิจทุกอย่าง จำปรารถนาในราชกิจทุกอย่างฉะนั้น. เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า สติจำปรารถนาในที่ทั้งปวง เพราะเหตุไร เพราะจิตมีสติ เป็นที่อาศัยและสติมีการอารักขา เป็นที่ปรากฏ เว้นสติเสียแล้วจะประคอง และข่มจิตไม่ได้เลย..... -------------------------------------

สำหรับความเข้าใจส่วนตัวคิดว่า ผู้ที่มีปัญญาอันอบรมดีแล้ว ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน เวลาใด

อารมณ์ไหนก็ตาม ปัญญาย่อมเกิดขึ้นกระทำกิจได้ทุกเมื่อ ไม่เว้นกาลเวลาเลยครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
suwit02
วันที่ 2 ส.ค. 2552

สติจำปรารถนาในที่ทั้งปวง

สาธุ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
wannee.s
วันที่ 2 ส.ค. 2552

พระพุทธเจ้าทรงสอนว่าให้มีชีวิตอยู่ด้วยปัญญาประเสริฐที่สุดค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
จักรกฤษณ์
วันที่ 2 ส.ค. 2552

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
ไตรสรณคมน์
วันที่ 2 ส.ค. 2552

" ปัญญาจำปรารถนาในที่ทั้งปวง "

คงเป็นไปไม่ได้หรอกค่ะ เพราะแม้แต่พระอรหันต์ บางครั้งก็ยังไม่มีปัญญาเกิดร่วมด้วย

แต่สติ....จำปรารถนาในที่ทั้งปวง เพราะสติเป็นสภาพธรรมที่เป็นปฎิปักษ์กับอกุศลค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
ups
วันที่ 2 ส.ค. 2552

กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตทุกท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
วันใหม่
วันที่ 2 ส.ค. 2552

สติเป็นเจตสิกฝ่ายดี ขณะใดที่กุศลจิตเกิด ขณะนั้นก็มีสติเจตสิกเกิดร่วมด้วยเสมอส่วนปัญญาเป็นสภาพธรรมฝ่ายดี ขณะใดที่กุศลจิตมีสติเจตสิกเกิดร่วมด้วยเสมอ แต่ในบางครั้งก็มีปัญญาเกิดร่วมด้วย ดังนั้นบางครั้งก็ไม่มีปัญญาเกิดร่วมด้วย ดังนั้นสติจึงจำปรารถนาในที่ทั้งปวง แต่ไม่ใช่ปัญญาจำปรารถนาในที่ทั้งปวง

อีกนัยหนึ่งโดยนัยการเจริญวิปัสสนา (สติปัฏฐาน) ขณะใดที่สติปัฏฐานเกิด ปัญญา ทำหน้าที่เห็นตามความเป็นจริงว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา แต่เมื่อมีปัญญาเห็นอย่างนั้นแล้ว จะไม่มีสติเป็นไปไม่ได้ สติทำหน้าที่ระลึกในลักษณะของสภาพธรรมนั้นเพราะความที่เว้นสติไมได้เลยในการเห็นตามความเป็นจริงว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา ดังนั้นจึงชื่อว่าสติจำปรารถนาในที่ทั้งปวง พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้าที่ 352 บทว่า สติมา ความว่า ผู้ประกอบด้วยสติกำหนดที่กาย. ก็เพราะภิกษุนี้ กำหนด อารมณ์ด้วยสติแล้ว จึงพิจารณาเห็นด้วยปัญญา. แต่ธรรมดาว่า การพิจารณาเห็น ย่อมไม่มีแก่ภิกษุ ผู้เว้นสติ. ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็แลเรากล่าวสติว่า จำปรารถนาในที่ทั้งปวง. อีกนัยหนึ่ง สติเป็นสภาพธรรมเครื่องรักษา รักษาให้เป็นไปในกุศลธรรม กั้นกระแสอกุศลธรรมไม่ว่าอยู่ในที่ไหน เวลาใด สติจำปรารถนาในที่ทั้งปวง ย่อมเกิดรักษาจิตให้เป็นในกุศลและกั้นกระแสอกุศลในขณะนั้น ในที่ทุกสถานแต่ปัญญาไมได้เกิดขึ้นเสมอไป เพราะฉะนั้นสติจึงจำปรารถนาในที่ทั้งปวง

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
khampan.a
วันที่ 2 ส.ค. 2552

ขออนุโมทนาครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
Sam
วันที่ 2 ส.ค. 2552

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
noynoi
วันที่ 3 ส.ค. 2552

ขออนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ