ปรมัตถธรรมน่าภิรมย์ฤาไฉน

 
จำแนกไว้ดีจ๊ะ
วันที่  21 ก.ค. 2552
หมายเลข  12955
อ่าน  1,161
ท่านผู้เจริญโปรดแสดงปรมัตถ์ธรรมเถิด มีความน่าอภิรมย์ รื่นเริงยินดี บ้างไหมในเมื่อจักขุวิญาณ (การเห็น) ไม่ใช่รูปที่ปรากฎ และรูปที่ปรากฏก็ไม่ใช่การเห็นหรือทางหูที่มีการได้ยิน แต่ไม่ใช่เสียง เช่นนี้แล้ว การเห็นก็มืดสนิท การได้ยินก็เงียบเสียนี่กระไร ฯลฯ

  ความคิดเห็นที่ 1  
 
prachern.s
วันที่ 22 ก.ค. 2552

ขอเชิญทุกท่านร่วมสนทนา


 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
ไตรสรณคมน์
วันที่ 22 ก.ค. 2552

เพราะผัสสะ...ทำให้เกิด....เวทนา

น่าภิรมย์ก็ตรงนี้แหละค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
suwit02
วันที่ 22 ก.ค. 2552

อ้างอิงจาก : หัวข้อ 12955 ความคิดเห็นที่ 2 โดย ไตรสรณคมน์

เพราะผัสสะ ... ทำให้เกิด ... .เวทนา น่าภิรมย์ก็ตรงนี้แหละค่ะ สั้นอย่างเยี่ยม

สาธุ

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ - หน้าที่ 222

๓. ทุกขนิโรธสูตร ว่าด้วยเหตุเกิดแห่งทุกข์และความดับทุกข์

[๑๖๑] พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่าน อนาถบิณฑิกเศรษฐี กรุงสาวัตถี. พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงเหตุเกิดแห่งทุกข์ และความดับแห่งทุกข์ ท่านทั้งหลายจงฟัง จงทำไว้ในใจให้ดี เราจักกล่าว ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า พระพุทธเจ้าข้า. [๑๖๒] พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสดังนี้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ความเกิดขึ้นแห่งทุกข์เป็นไฉน.

เพราะอาศัยจักษุและรูป จึงเกิดจักขุวิญญาณ ความประชุมแห่งธรรม ๓ ประการเป็นผัสสะ

เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงเกิดเวทนา เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงเกิดตัณหา

ภิกษุทั้งหลายนี้แลเป็นความเกิดขึ้นแห่งทุกข์

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
เมตตา
วันที่ 22 ก.ค. 2552

การได้ศึกษาปรมัตถธรรม ซึ่งหมายถึงสิ่งที่มีอยู่จริง ได้แก่ จิต เจตสิก รูป และนิพพาน การได้มีโอกาสศึกษารู้ความจริงในสิ่งที่พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ความจริง และได้ทรงอนุเคราะห์พุทธบริษัทด้วยการแสดงธรรม เพื่อให้เกิดความเข้าใจในสิ่งที่ มีอยู่จริงในขณะนี้ ไม่พ้นไปจากจิต เจตสิก รูป ที่กำลังปรากฎเกิดขึ้นและดับไปอยู่ ตลอดเวลา

เมื่อได้ศึกษามีความเข้าใจแล้ว การคิดการตรึกก็ถูก ข้อประพฤติปฎิบัติก็ถูกตรงต่อลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริง ... .จนกว่าจะได้รู้ ชัดว่าจิตเห็น จิตได้ยิน ... มึดสนิท เมื่อนั้นจะมีความน่าอภิรมย์ รื่นเริงยินดี

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
จำแนกไว้ดีจ๊ะ
วันที่ 23 ก.ค. 2552
เห็นตนในรูปที่ชื่อว่าสลายไป ซินะ
 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
จำแนกไว้ดีจ๊ะ
วันที่ 23 ก.ค. 2552

ความคิดเห็นที่ 5 ความคิดเห็นที่ 2 คุณ ไตรสรณคม ครับ

(เนื่องจากเมื่อเช้าประมาณ เวลา 06.00 น. ยังไม่มีการ Comment) ขอแสดงความเคารพต่อความคิดเห็นของทุกๆ ท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
ไตรสรณคมน์
วันที่ 23 ก.ค. 2552

อ้างอิงจาก : หัวข้อ 12955 ความคิดเห็นที่ 5 โดย จำแนกไว้ดีจ๊ะเห็นตนในรูปที่ชื่อว่าสลายไป ซินะ

เห็นตนในรูปชื่อว่า ... .เห็นผิดหรือเห็นถูก?

ตนในรูปมีจริงหรือ? ... ..คืออะไร?

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
จำแนกไว้ดีจ๊ะ
วันที่ 24 ก.ค. 2552

เห็นตนในรูปชื่อว่า เห็นผิดหรือเห็นถูก?

ตนในรูปมีจริงหรือ? คืออะไร? (ไตรสรณคมน์. ความคิดเห็นที่ 7)

คำว่า รูปวนฺตํ วา อตฺตานํ (หรือเห็นตนมีรูป)

(พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม 1 ภาค 2 หน้าที่ 369)

ความว่า บุคคลถือว่า อรูป (นาม) เป็นตน จึงเห็นตนนั้นมีรูป เหมือนเห็นต้นไม้มีเงาฉะนั้น.คำ อตฺตนิ วา รูปํ (เห็นรูปในตน) ความว่า บุคคลถืออรูป (นาม) นั่นแหละว่าเป็นตน ย่อมเห็นรูปในตน เหมือนกลิ่นมีในดอกไม้ฉะนั้น. รูปสฺมึ วา อตฺตานํ (เห็นตนในรูป) ความว่า บุคคลถืออรูปนั่นแหละเป็นตน ย่อมเห็นตนในรูป เหมือนเห็นแก้วมณีในขวดฉะนั้น. แม้ในขันธ์มีเวทนาเป็นต้น ก็นัยนี้เหมือนกัน.

... พึงทราบทิฏฐิเหล่านั้น แม้ทั้งหมดห้ามมรรคแต่ไม่ห้ามสวรรค์ อันมรรคที่หนึ่งพึงประหารดังนี้

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
เมตตา
วันที่ 24 ก.ค. 2552

เรียนคุณจำแนกไว้ดีจ๊ะ

อ้างอิงจากความเห็นที่ 7 คุณ ไตรสรณคมน์

เห็นตนในรูปชื่อว่า ... .เห็นผิดหรือเห็นถูก?

ตนในรูปมีจริงหรือ? ... ..คืออะไร?

คุณ ไตรสรณคมน์ มีความเข้าใจดีอยู่แล้ว ... จึงถามว่า ...

เห็นตนในรูปชื่อว่า ... .เห็นผิดหรือเห็นถูก? >>>> ก็ต้องเห็นผิดค่ะ

ตนในรูปมีจริงหรือ? ... ..คืออะไร? >>>> ก็คนที่มีความเห็นผิดแล้ว

ย่อมเห็นตนในรูปค่ะ ท่านพระโสดาบันท่านรู้แจ้งสภาพธรรมตามความ เป็นจริง ไม่เห็นผิดในสภาพธรรมว่าเป็น ตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคล ท่านละสักกายทิฎฐิเป็นสมุจเฉท ท่านไม่มีความเห็นผิดในรูป ในเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ว่าเป็นตน เป็นสัตว์ บุคคลใดๆ ...

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
ไตรสรณคมน์
วันที่ 24 ก.ค. 2552

ขอขอบคุณและขออนุโมทนาพี่เมตตาค่ะ (-_-"

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
วันใหม่
วันที่ 24 ก.ค. 2552

สภาพธรรมที่มีจริง เป็นจิต เจตสิก รูป เป็นปรมัตถธรรม เป็นสังขารธรรมมีปัจจัยปรุงแต่ง สภาพธรรมที่เป็นจิต เจตสิก รูปเมื่อเกิดขึ้น ย่อมเป็นที่ตั้งของความยึดถือด้วยโลภะ ยินดีพอใจ ดังนั้นเพราะความไม่รู้และโลภะที่ได้สะสมมาเมื่อสภาพธรรมเกิดย่อมยินดี พอใจในสภาพธรรมที่เกิดขึ้นได้ เพราะไม่ได้ประจักษ์ความจริงจึงพอใจ ติดข้องในสภาพธรรม

การอบรมปัญญาเพื่อรู้ความจริง จึงไม่ใช่ไปห้ามว่าอย่ายินดี

ไม่ให้เกิดเกิดความน่าอภิรมย์ แต่เกิดแล้ว ความติดข้อง ความพอใจ มีจริงไหม

ปัญญาควรรู้หรือไม่ควรรู้ สิ่งใดที่มีจริง ปัญญาสามารถรู้ความจริงได้

ประเด็นจึงอยู่ที่ว่า สำคัญคือรู้ความจริงในขณะนี้..ในสิ่งที่มีจริงกลับมาใหม่...กลับมาที่ขณะนี้อีกครั้ง..กำลังปรากฎ

สาธุ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
จำแนกไว้ดีจ๊ะ
วันที่ 25 ก.ค. 2552

พระโสดาบันท่านละวิจิกิจฉาได้แล้ว แต่ปุถุชนยังสงสัยอยู่ และหลงลืมสติ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
ไตรสรณคมน์
วันที่ 25 ก.ค. 2552

ค่ะ, พระโสดาบันท่านหมดความสงสัยในสัจจธรรม แต่ท่านก็ยังหลงลืมสติอยู่บ้าง เข้ามาร่วมสนทนาบ่อยๆ นะคะ ...

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
suwit02
วันที่ 25 ก.ค. 2552

บัณฑิตละ ราคะ โทสะและโมหะแล้ว กล่าวธรรมอยู่ คนเหล่าใดกล่าวไม่เป็นธรรม ไม่ชื่อว่าเป็นบัณฑิต ที่ใดไม่มีบัณฑิต ที่นั้นไม่ชื่อว่าเป็นสภา

สภานี้ ... น่ารื่นรมย์

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
จำแนกไว้ดีจ๊ะ
วันที่ 26 ก.ค. 2552
รักษาชื่อไว้ได้ ขอให้เจริญดังชื่อเถิดท่าน
 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ