คำกล่าวหา ... ที่มีมูล

 
พุทธรักษา
วันที่  24 เม.ย. 2552
หมายเลข  12049
อ่าน  1,016

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้าที่ 1

พระวินัยปิฎ เล่ม ๑

มหาวิภังค์ ปฐมภาค

เวรัญชภัณฑ์

เรื่อง เวรัญชพราหมณ์

[๑] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพระพุทธเจ้า ประทับอยู่ควงไม้สะเดาที่นเฬรุยักษ์สิงสถิต เขตเมืองเวรัญชาพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ ประมาณ ๕๐๐ รูปเวรัญชพราหมณ์ ได้สดับข่าวถนัดแน่ ว่า ท่านผู้เจริญ พระสมณโคดมศากยบุตร ทรงผนวชจากศากยตระกูล ประทับอยู่ ณ บริเวณต้นไม้สะเดาที่นเฬรุยักษ์สิงสถิต เขตเมืองเวรัญชา พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ประมาณ ๕๐๐ รูป

ก็แลพระกิตติศัพท์อันงาม ของท่านพระโคดมพระองค์นั้น ขจรไปแล้ว อย่างนี้ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ทรงเป็นพระอรหันต์ แม้เพราะเหตุนี้ ทรงตรัสรู้เองโดยชอบแม้เพราะเหตุนี้ ทรงบรรลุวิชชาและจรณะ แม้เพราะเหตุนี้ เสด็จไปดี แม้เพราะเหตุนี้ ทรงทราบโลกแม้เพราะเหตุนี้ ทรงเป็นสารถี ฝึกบุรุษที่ควรฝึก ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า

แม้เพราะเหตุนี้ ทรงเป็นศาสดา ของเทพ และมนุษย์ ทั้งหลายแม้เพราะเหตุนี้ ทรงเป็นพุทธะแม้เพราะเหตุนี้ ทรงเป็นพระผู้มีพระภาคเจ้าแม้เพราะเหตุนี้ พระองค์ทรงทำโลกนี้ พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลกให้แจ้งชัด ด้วยพระปัญญาอันยิ่ง ของพระองค์เองแล้วทรงสอนหมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณะ พราหมณ์ เทพ และมนุษย์ ให้รู้ ทรงแสดงธรรม งามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด ทรงประกาศพรหมจรรย์ พร้อมทั้งอรรถ ทั้งพยัญชนะ ครบบริบูรณ์บริสุทธิ์อนึ่ง การเห็นพระอรหันต์ทั้งหลายเห็นปานนั้น เป็นความดี

เวรัญชพราหมณ์ กล่าวตู่พระพุทธเจ้า

[๒] หลักจากนั้น เวรัญชพราหมณ์ ได้ไปในพุทธสำนักครั้นถึงแล้ว ได้ทูลปราศรัยกับพระผู้มีพระภาคเจ้าครั้นผ่านการทูลปราศรัยพอให้เป็นที่บันเทิง เป็นที่ระลึกถึงกันไปแล้ว จึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งเวรัญชพราหมณ์ นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้วได้ทูลคำนี้แด่พระผู้มีพระภาคเจ้าว่า "ท่านพระโคดม ข้าพเจ้าได้ทราบมาว่า พระสมณโคดม ไม่ไหว้ไม่ลุกรับ พวกพราหมณ์ผู้แก่ ผู้เฒ่า ผู้ใหญ่ ผู้ล่วงการผ่านวัยมาโดยลำดับ หรือไม่เชื้อเชิญ ด้วยอาสนะ ข้อที่ข้าพเจ้าทราบมานี้นั้น เป็นเช่นนั้นจริง อันการที่ท่านพระโคดมไม่ไหว้ ไม่ลุกรับ พวกพราหมณ์ผู้แก่ ผู้เฒ่า ผู้ใหญ่ผู้ล่วงกาลผ่านวัยมาโดยลำดับหรือไม่เชื้อเชิญด้วยอาสนะนี้นั้น ไม่สมควรเลย"

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า "ดูก่อนพราหมณ์ ในโลก ทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณะ พราหมณ์ เทพ และมนุษย์เราไม่เล็งเห็นบุคคลที่เราควรไหว้ ควรลุกรับ หรือควรเชื้อเชิญด้วยอาสนะเพราะว่าตถาคตพึงไหว้ พึงลุกรับ หรือ พึงเชื้อเชิญบุคคลใดด้วยอาสนะ แม้ศีรษะของบุคคลนั้น ก็พึงขาดตกไป

เวรัญชพราหมณ์ทูลว่า "ท่านพระโคดม มีปกติไม่ไยดี"

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า "มีอยู่จริงๆ พราหมณ์ เหตุที่เขากล่าวหาเรา ว่า พระสมณโคดม มีปกติไม่ไยดี ดังนี้ ชื่อว่า กล่าวถูก เพราะความไยดีในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ เหล่านั้น ตถาคตละได้แล้ว ตัดรากขาดแล้ว ทำให้เป็นเหมือนตาลยอดด้วนทำไม่ให้มีภายหลัง มีไม่เกิดอีกต่อไปเป็นธรรมดา นี้แล เหตุที่เขากล่าวหาเราว่า พระสมณโคดม มีปกติไม่ไยดี ดังนี้ ชื่อว่ากล่าวถูก แต่ไม่ใช่เหตุ ที่ท่านมุ่งกล่าว"

เวรัญชพราหมณ์ทูลว่า "ท่านพระโคดม ไม่มีสมบัติ"

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า "มีอยู่จริงๆ พราหมณ์ เหตุที่เขากล่าวหาเราว่า พระสมณโคดม ไม่มีสมบัติ ดังนี้ ชื่อว่ากล่าวถูกเพราะสมบัติ คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะเหล่านั้น ตถาคตละได้แล้วตัดรากขาดแล้ว ทำให้เป็นเหมือนตาลยอดด้วย ทำไม่ให้มีภายหลัง ไม่เกิดอีกต่อไปเป็นธรรมดา นี้แล เหตุที่เขากล่าวหาเราว่า พระสมณโคดมไม่มีสมบัติ ดังนี้ ชื่อว่ากล่าวถูก แต่ไม่ใช่เหตุ ที่ท่านมุ่งกล่าว"

เวรัญชพราหมณ์ทูลว่า "ท่านพระโคดม กล่าวการไม่ทำ"

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า "มีอยู่จริงๆ พราหมณ์ เหตุที่เขากล่าวหาเราว่า พระสมณโคดม กล่าวการไม่ทำ ดังนี้ ชื่อว่ากล่าวถูกเพราะเรากล่าว การไม่ทำกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต เรากล่าวการไม่ทำสิ่งที่เป็นบาปอกุศลหลายอย่าง นี้แล เหตุที่เขากล่าวหาเราว่า พระสมณโคดมกล่าวการไม่ทำ ดังนี้ ชื่อว่ากล่าวถูกแต่ไม่ใช่เหตุ ที่ท่านมุ่งกล่าว"

เวรัญชพราหมณ์ทูลว่า "ท่านพระโคดม กล่าวความขาดสูญ"

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า "มีอยู่จริงๆ พราหมณ์ เหตุที่เขากล่าวหาเราว่า พระสมณโคดม กล่าวความขาดสูญ ดังนี้ ชื่อว่ากล่าวถูก เพราะเรากล่าว ความขาดสูญแห่งราคะ โทสะ โมหะเรากล่าว ความขาดสูญแห่งสภาพที่เป็นบาปอกุศลหลายอย่าง นี้แล เหตุที่เขากล่าวหาเราว่า พระสมณโคดมกล่าวความขาดสูญ ดังนี้ ชื่อว่า กล่าวถูก แต่ไม่ใช่เหตุ ที่ท่านมุ่งกล่าว"

เวรัญชพราหมณ์ทูลว่า "ท่านพระโคดม ช่างรังเกียจ"

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า "มีอยู่จริงๆ พราหมณ์ เหตุที่เขากล่าวหาเราว่า พระสมณโคดม ช่างรังเกียจ ดังนี้ ชื่อว่ากล่าวถูกเพราะเรารังเกียจกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริตเรารังเกียจ ความถึงพร้อมแห่งสภาพที่เป็นบาปอกุศลหลายอย่าง นี้แล. เหตุที่เขากล่าวหาเราว่า พระสมณโคดม ช่างรังเกียจ ดังนี้ ชื่อว่ากล่าวถูกแต่ไม่ใช่เหตุ ที่ท่านมุ่งกล่าว"

เวรัญชพราหมณ์ทูลว่า "ท่านพระโคดม ช่างกำจัด"

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า "มีอยู่จริงๆ พราหมณ์ เหตุที่เขากล่าวหาเราว่า พระสมณโคดม ช่างกำจัด ดังนี้ ชื่อว่ากล่าวถูก เพราะเราแสดงธรรม เพื่อกำจัด ราคะ โทสะ โมหะ (เรา) แสดงธรรม เพื่อกำจัดสภาพที่เป็นบาปอกุศลหลายอย่าง นี้แล เหตุที่เขากล่าวหาเราว่า พระสมณโคดม ช่างจำกัด ดังนี้ ชื่อว่ากล่าวถูก แต่ไม่ใช่เหตุ ที่ท่านมุ่งกล่าว"

เวรัญชพราหมณ์ทูลว่า "ท่านพระโคดม ช่างเผาผลาญ"

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า "มีอยู่จริงๆ พราหมณ์ เหตุที่เขากล่าวหาเราว่า พระสมณโคดม ช่างเผาผลาญ ดังนี้ ชื่อว่ากล่าวถูกเพราะเรากล่าว ธรรมที่เป็นบาปอกุศล คือ กายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริตว่า เป็นธรรมที่ควรเผาผลาญ ธรรมที่เป็นบาปอกุศล ซึ่งควรเผาผลาญ อันผู้ใดละได้แล้ว ตัดรากขาดแล้ว ทำให้เป็นเหมือนตาลยอดด้วนทำไม่ให้มีในภายหลัง มีไม่เกิดอีกต่อไปเป็นธรรมดาเรากล่าวผู้นั้นว่า เป็นคนช่างเผาผลาญ

พราหมณ์ ธรรมทั้งหลายที่เป็นบาปอกุศล ซึ่งควรเผาผลาญตถาคตละได้แล้ว ตักรากขาดแล้ว ทำให้เป็นเหมือนตาลยอดด้วนทำไม่ให้มีในภายหลัง มีไม่เกิดอีกต่อไปเป็นธรรมดา นี้แล เหตุที่เขากล่าวหาเราว่าพระสมณโคดม ช่างเผาผลาญ ดังนี้ ชื่อว่า กล่าวถูก แต่ไม่ใช่เหตุ ที่ท่านมุ่งกล่าว"

เวรัญชพราหมณ์ทูลว่า "ท่านพระโคดม ไม่ผุดเกิด"

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า "มีอยู่จริงๆ พราหมณ์ เหตุที่เขากล่าวหาเราว่า พระสมณโคดม ไม่ผุดเกิด ดังนี้ ชื่อว่า กล่าวถูก เพราะการนอนในครรภ์ต่อไป การเกิดในภพใหม่ อันผู้ใดละได้แล้วตัดรากขาดแล้ว ทำให้เป็นเหมือนตาลยอดด้วน ทำไม่ให้มีในภายหลัง มีไม่เกิดต่อไปเป็นธรรมดา เรากล่าวผู้นั้นว่า เป็นคนไม่ผุดเกิด

พราหมณ์ การนอนในครรภ์ต่อไป การเกิดในภพใหม่ ตถาคตละได้แล้ว ตัดรากขาดแล้ว ทำให้เป็นเหมือนตาลยอดด้วนทำไม่ให้มีในภายหลัง ไม่เกิดอีกต่อไปเป็นธรรมดา นี้แล.
เหตุที่เขากล่าวหาเราว่าพระสมณโคดม ไม่ผุดเกิด ดังนี้ ชื่อว่ากล่าวถูก แต่ไม่ใช่เหตุ ที่ท่านมุ่งกล่าว"

ทรงอุปมาด้วยลูกไก่

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า [๓] "ดูก่อนพราหมณ์ เปรียบเหมือนฟองไก่ ๘ ฟอง ๑๐ ฟอง หรือ ๑๒ ฟองฟองไก่เหล่านั้น อันแม่ไก่พึงกกดีแล้ว อบดีแล้ว ฟักดีแล้ว บรรดาลูกไก่เหล่านั้น ลูกไก่ตัวใด ทำลายกระเปาะฟอง ด้วยปลายเล็บเท้า หรือ ด้วยจะงอยปากออกมาได้โดยสวัสดี ก่อนกว่าเขาลูกไก่ตัวนั้น ควรเรียกว่ากระไร จะเรียกว่า พี่ หรือน้อง"

เวรัญชพราหมณ์ทูลว่า "ท่านพระโคดม ควรเรียกว่าพี่ เพราะมันแก่กว่าเขา"

ทรงแสดงฌานสี่ และ วิชชาสาม

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า "เรา ก็เหมือนอย่างนั้นแล พราหมณ์เมื่อประชาชน ผู้ตกอยู่ใน "อวิชชา" เกิดในฟองอันกระเปาะฟองหุ้มห่อไว้ ผู้เดียวเท่านั้นในโลก ได้ทำลายกระเปาะฟอง คือ "อวิชชา" แล้วได้ "ตรัสรู้พระสัมมาสัมโพธิญาณ" อันยอดเยี่ยมเรานั้น เป็นผู้เจริญที่สุด ประเสริฐที่สุดของโลก เพราะความเพียรของเรา ที่ปรารภแล้ว แล ไม่ย่อหย่อน สติ ดำรงมั่น ไม่ฟั่นเฟือน กาย สงบ ไม่กระสับกระส่าย จิต ตั้งมั่นมีอารมณ์เป็นหนึ่ง..

ปฐมฌาน

เรานั้นแล สงัดแล้วจากกาม สงัดแล้วจากอกุศลธรรม ได้บรรลุปฐมฌาน มีวิตก มีวิจาร มีปีติ และสุข ซึ่งเกิดแต่วิเวกอยู่

ทุติยฌาน

เราได้บรรลุทุติยฌาน มีความผ่องใสแห่งจิต ฯ ภายในเป็นธรรมเอกผุดขึ้น ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร เพราะวิตก วิจาร สงบไป มีปีติและสุข ซึ่งเกิดแต่สมาธิอยู่

ตติยฌาน

เรามีอุเบกขาอยู่ มีสติ มีสัมปชัญญะและเสวยสุข ด้วยนามกาย เพราะปีติสิ้นไปได้บรรลุตติยฌาน ที่พระอริยะทั้งหลายสรรเสริญว่า เป็นผู้มีอุเบกขา มีสติ มีสุขอยู่ ดังนี้

จตุตถฌาน

เราได้บรรลุจตุตถฌาน ไม่มีทุกข์ไม่มีสุข เพราะละสุข ละทุกข์ และ ดับโสมนัส โทมนัสก่อนๆ มีอุเบกขาเป็นเหตุ ให้ สติ บริสุทธิ์อยู่

บุพเพนิวาสานุสติญาณ

เรานั้น เมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์ ผุดผ่อง ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลส อ่อน ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว อย่างนี้แล้ว ได้น้อมจิตไป เพื่อบุพเพนิวาสานุสติญาณ เรานั้น ย่อมระลึกชาติก่อนได้เป็นอันมาก คือ ระลึกชาติได้ หนึ่งชาติบ้าง สองชาติบ้าง สามชาติบ้าง สี่ชาติบ้างห้าชาติบ้าง สิบชาติบ้าง ยี่สิบชาติบ้าง สามสิบชาติบ้าง สี่สิบชาติห้าสิบชาติบ้าง ร้อยชาติบ้าง พันชาติบ้าง แสนชาติบ้าง ตลอดสังวัฏฏกัลป์ เป็นอันมากบ้างว่า ตลอดวิวัฏฏกัลป์เป็นอันมากบ้าง ตลอดสังวัฏฏวิวัฏฏกัลป์เป็นอันมากบ้าง ว่า ในภพนั้น เราได้มีชื่ออย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น เสวยสุขทุกข์อย่างนั้นๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น

ครั้นจุติจากภพนั้นแล้ว ได้ไปเกิดในภพโน้นแม้ในภพโน้นนั้น เราก็ได้มีชื่ออย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น เสวยสุขทุกข์อย่างนั้นๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น

ครั้นจุติจากภพโน้นนั้นแล้ว ได้มาเกิดในภพนี้ย่อมระลึกถึงชาติก่อนได้เป็นอันมาก พร้อมทั้งอุเทศ พร้อมทั้งอาการ ด้วยประการ ฉะนี้ พราหมณ์ วิชชาที่หนึ่ง นี่แล เราได้บรรลุแล้ว ในปฐมยามแห่งราตรี "อวิชชา" เรากำจัดได้แล้ว "วิชชา" เกิดแก่การแล้ว ความมืด เรากำจัดได้แล้ว แสงสว่าง เกิดแก่เราแล้ว เหมือนที่เกิดแก่บุคคลผู้ไม่ประมาท มีความเพียรเผากิเลส ส่งจิตไปแล้วอยู่ฉะนั้นความชำแรกออกครั้งที่หนึ่ง ของเรานี้แล ได้เป็นเหมือนการทำลายออกจากกระเปาะฟองแห่งลูกไก่ ฉะนั้น

จุตูปปาตญาณ

เรานั้น เมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์ ผุดผ่อง ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลส อ่อน ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว อย่างนี้แล้ว ได้น้อมจิตไป เพื่อญาณ เครื่องรู้จุติและอุปบัติของสัตว์ทั้งหลาย เรานั้น ย่อมเล็งเห็นหมู่สัตว์ผู้กำลังจุติ กำลังอุปบัติ เลว ประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยากด้วยทิพย์จักษุอันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุของมนุษย์ ย่อมรู้ชัด ซึ่งหมู่สัตว์ ผู้เข้าถึงตามกรรม ว่า หมู่สัตว์ ผู้เกิดเป็นอยู่เหล่านี้ ประกอบด้วยกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต ติเตียนพระอริยเจ้า เป็นมิจฉาทิฏฐิ ยึดถือการกระทำด้วยอำนาจมิจฉาทิฏฐิ หมู่สัตว์ผู้เกิดเป็นอย่างเหล่านั้นเบื้องหน้าแต่แตกกายตายไปเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก..หรือว่า หมู่สัตว์ ผู้เกิดเป็นอยู่เหล่านี้ประกอบด้วยการสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริตไม่ติเตียนพระอริยเจ้า เป็นสัมมาทิฏฐิ ยึดถือการกระทำด้วยอำนาจสัมมาทิฏฐิ หมู่สัตว์ ผู้เกิดเป็นอยู่เหล่านั้นเบื้องหน้าแต่แตกกายตายไป เข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ เราย่อมเล็งเห็นหมู่สัตว์ ผู้กำลังจุติ กำลังอุปบัติ เลว ประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยากด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุของมนุษย์ ย่อมรู้ชัด ซึ่งหมู่สัตว์ ผู้เข้าถึงตามกรรม ด้วยประการ ดังนี้

พราหมณ์ วิชชาที่สอง นี้แล เราได้บรรลุแล้ว ในมัชฌิมยามแห่งราตรี "อวิชชา" เรากำจัดได้แล้ว "วิชชา" เกิดแก่เราแล้ว ความมืด เรากำจัดได้แล้ว แสงสว่างเกิดแก่เราแล้วเหมือนที่เกิดแก่บุคคลผู้ไม่ประมาทมีความเพียร เผากิเลส ส่งจิตไปแล้วอยู่ ฉะนั้นความชำแรกออก ครั้งที่สองของเรา นี้แล ได้เป็นเหมือนการทำลายออกจากกระเปาะฟองแห่งลูกไก่ ฉะนั้น

อาสวักขยญาณ

เรานั้น เมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์ ผุดผ่อง ไม่มีกิเลสปราศจากอุปกิเลส อ่อน ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว อย่างนี้แล้ว ได้น้อมจิตไป เพื่ออาสวักขยญาณ เรานั้น ได้รู้ชัดตามเป็นจริงว่า นี้ทุกข์

ได้รู้ชัดตามเป็นจริงว่า ... นี้เหตุให้เกิดทุกข์

ได้รู้ชัดตามเป็นจริงว่า ... นี้ความดับทุกข์

ได้รู้ชัดตามเป็นเป็นจริงว่า ... นี้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์..ได้รู้ชัดตามเป็นจริงว่า เหล่านี้ อาสวะ

ได้รู้ชัดตามเป็นจริงว่า ... นี้เหตุให้เกิดอาสวะ

ได้รู้ชัดตามเป็นจริงว่า ... นี้ความดับอาสวะ

ได้รู้ชัดตามเป็นจริงว่า ... นี้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับอาสวะ

เมื่อเรานั้น รู้อยู่อย่างนี้ เห็นอยู่อย่างนี้ จิตได้หลุดพ้นแล้วแม้จาก กามาสวะได้หลุดพ้นแล้วแม้จาก ภวาสวะ ได้หลุดพ้นแล้วแม้จาก อวิชชาสวะ..เมื่อจิตหลุดพ้นแล้วได้มีญาณหยั่งรู้ว่า หลุดพ้นแล้ว ได้รู้ ด้วยปัญญาอันยิ่ง ว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ได้ทำเสร็จแล้วกิจอื่นอีก เพื่อความเป็นอย่างนี้ มิได้มี

พราหมณ์ วิชชาที่สาม นี้แล เราได้บรรลุแล้ว ในปัจฉิมยามแห่งราตรี อวิชชา เรากำจัดได้แล้ว วิชชา เกิดแก่เราแล้วความมืด เรากำจัดได้แล้ว แสงสว่าง เกิดแก่เราแล้ว เหมือนที่เกิดแก่บุคคลผู้ไม่ประมาทมีความเพียร เผากิเลส ส่งจิตไปแล้วอยู่ ฉะนั้น ความชำแรกออก ครั้งที่สาม ของเรานี้แล ได้เป็นเหมือนการทำลายออกจากกระเปาะฟองแห่งลูกไก่ ฉะนั้น

เวรัญชพราหมณ์แสดงตนเป็นอุบาสก

[๔] เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอย่างนี้แล้ว เวรัญชพราหมณ์ ได้ทูลคำนี้แด่พระผู้มีพระภาคเจ้าว่า " ท่านพระโคดม เป็นผู้เจริญที่สุดท่านพระโคดม เป็นผู้ประเสริฐที่สุดข้าแต่ท่านพระโคดมภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก ภาษิตของพระองค์ไพเราะนัก พระองค์ทรงประกาศธรรม โดยอเนกปริยาย อย่างนี้ เปรียบเหมือบุคคลหงายของที่คว่ำ เปิดของที่เปิด บอกทางแก่คนหลงทาง หรือ ส่องประทีปในที่มืด ด้วยตั้งใจว่า คนมีจักษุจักเห็นรูป ดังนี้ข้าพเจ้านี้ ขอถึงท่านพระโคดม พระธรรม และ พระสงฆ์ ว่าเป็นสรณะขอพระองค์ จงทรงจำข้าพเจ้า ว่า เป็นอุบาสก ผู้ถึงสรณะตลอดชีวิต จำเดิมแต่วันนี้เป็นต้นไป และ ขอพระองค์ พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ จงทรงรับอาราธนา อยู่จำพรรษาที่เมืองเวรัญชาของข้าพเจ้าเถิด"

พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงรับอาราธนาด้วยพระอาการดุษณี ครั้นเวรัญชพราหมณ์ ทราบการรับอาราธนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว ได้ลุกจากที่นั่ง ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า ทำประทักษิณ หลีกไป

... ขออนุโมทนา ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
suwit02
วันที่ 26 เม.ย. 2552

สาธุ

ผมขอเสนอลิ้งค์ เวรัญชกัณฑ์ ที่ในกระทู้นี้อ้างถึงครับ

[เล่มที่ 1] พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค เล่ม ๑ ภาค ๑

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
Komsan
วันที่ 26 เม.ย. 2552
ขออนุโมทนาครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
จักรกฤษณ์
วันที่ 26 เม.ย. 2552

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
สุภาพร
วันที่ 27 เม.ย. 2552
ขออนุโมทนาค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
pornpaon
วันที่ 27 เม.ย. 2552

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
chatchai.k
วันที่ 19 ก.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ