ลักษณะ...ปรากฏ หรือ ปรากฏ...เพียงนิมิต

 
พุทธรักษา
วันที่  16 มี.ค. 2552
หมายเลข  11634
อ่าน  1,053

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

อาจารย์กุลวิไล ท่านอาจารย์กล่าวถึง "ความน่าอัศจรรย์ของจิต" เริ่มตั้งแต่ปฏิสนธิจิต ขอเชิญคุณหมอวิภากรค่ะ
.
คุณหมอวิภากร กราบเรียนถามท่านอาจารย์ว่า ที่อาจารย์พูดเมื่อกี้นี้แสดงว่า ขณะที่อยู่ในครรภ์ เป็นภวังค์ตลอดเลย ก็ไม่มีใครทราบมโนทวารวิถีจิตแรก ตลอดใกล้จะคลอด หรือเปล่า

ท่านอาจารย์ เรามีแต่เรื่องราว "ของเรา" ตอนนั้น "เรา" อยู่ที่ไหน มีตา มีหู มีจมูก ฯ หรือยัง เห็นหรือยัง ได้ยินหรือยัง ก็ "เรา" ทั้งนั้นเลย แต่นี่พูดถึง "จิต" ตามลำดับ ซึ่งจะต้องเป็นอย่างนี้ไม่ว่าจะภพไหน ภูมิไหน เพราะฉะนั้น ไม่สามารถจะมีใครไปกำหนดรู้ได้ระหว่างที่จิตเกิดดับ เป็นภวังค์อยู่นี้ มีจำกัดไหม ว่าจะต้องขณะนั้นกี่นาที ...๑๐ นาที เดือนหนึ่ง ... ๑๐ เดือน อะไรอย่างนั้น

คุณอรวรรณ ที่ว่า ... อัศจรรย์ คือ เมื่อยังไม่ได้เห็น (แล้ว) เมื่อเห็นเกิดขึ้น ก็อัศจรรย์เมื่อยังไม่ได้ยิน (แล้ว) เมื่อได้ยินเกิดขึ้น ก็อัศจรรย์ซึ่งถ้าไม่ได้ศึกษา หรือเข้าใจธรรมะ ยังไม่ละเอียดลึกซึ้งพอก็ดูเหมือนว่า ธรรมดา ถ้านอนหลับ ไม่ได้เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้คิดนึก ฯลฯพอตื่นขึ้นมา ก็เห็น ก็ได้ยิน และ คิดนึก.เมื่อศึกษา ก็ทราบว่า สะสมอกุศลมามาก ก็จะเป็นเหตุปัจจัย ให้อกุศลจิตเกิดขึ้นและขณะที่ไม่เป็นไปใน ทาน ศีล หรือความสงบของจิต และการอบรมเจริญปัญญาก็เลยเป็นอกุศล จึงรู้ว่า อกุศลนี้มีมาก คำถาม จึงมีว่า ที่ท่านอาจารย์ ถามว่า "อัศจรรย์ไหมคะ.? ที่ไม่เห็น แล้วมี "จิตเห็น" เกิดขึ้น" ไม่เข้าใจตรงนี้ แต่เข้าใจว่า ความอัศจรรย์ คือว่า ธรรมดา เห็น แต่เมื่อได้ศึกษาแล้วจะทราบว่า เหตุปัจจัย ที่ทำให้เห็นนี้ มีมากมาย และไม่มีใคร สามารถที่จะทำได้ ตรงนี้ จึงเรียนขอให้ท่านอาจารย์ช่วยขยาย "ความอัศจรรย์" ของ (สิ่ง) ที่ว่านี้ ... ว่าเป็นอย่างไรคะ

ท่านอาจารย์ อัศจรรย์เพราะไม่มีใครสามารถทำให้ธาตุชนิดหนึ่งชนิดใดเกิดขึ้น เป็นไปได้เลย แต่ธาตุเหล่านั้น เป็นอย่างนั้น ตามเหตุตามปัจจัย อย่างธาตุรู้ ใครจะคิดว่ามี ลองคิดดู น่ามีไหม เกิดขึ้น แล้วก็เห็น คิดนึก จำได้ ฯลฯ เป็นธรรมะ เป็นธรรมดา ของธาตุนั้นๆ ไม่มีใคร สามารถที่จะไปทำอะไรได้เลย หรือ รูปธาตุ ก็เช่นเดียวกัน เช่น แข็ง เกิดเป็นแข็ง หวาน เกิดเป็นหวาน เปลี่ยนแปลง "ลักษณะนั้นๆ " ไม่ได้ ใครทำให้เป็นอย่างนั้น นักคิด ... ก็อาจจะคิดไปว่า ธาตุเหล่านั้น ไปผสมกับธาตุเหล่านี้ ฯ ปลูกไป แล้วก็รดน้ำไป รสชาติก็เปลี่ยนไป นั่นคือการคิด สิ่งที่เกิดขึ้นมาได้นี้ เกิดขึ้นมาได้อย่างไร ไม่ใช่คิด ... ใช่ไหม แต่ต้องมีเหตุ มีปัจจัย แม้แต่ในขณะนี้ ที่เห็นนี้ เป็น "จิต" ก็น่าอัศจรรย์ ว่า จิตนี้ เกิดขึ้น "เห็น" ทำอย่างอื่นไม่ได้เลย จะให้ "เห็น" ไปทำอย่างอื่น ได้ไหม แล้ว "เห็น" ก็จะต้องอาศัย "จักขุปสาท" ซึ่งเป็นรูป ที่เป็นปัจจัย "เห็น" จึงเกิดขึ้นได้ อย่าง ธาตุแข็ง ก็เป็นรูป ชนิดหนึ่ง ไม่ใช่ จักขุปสาท ซึ่งก็เป็นรูปอีกชนิดหนึ่ง แต่ แข็ง ไม่สามารถที่จะทำให้มีอะไรปรากฏให้เกิดการเห็นได้ เหมือนกับ จักขุสาทรูป ที่กระทบรูป คือ รูปารมณ์ (สีสัน วัณณะ) ซึ่งเป็นปัจจัยทำให้เกิด "เห็น" ที่กำลังปรากฏทางตา ในขณะนี้

แม้แต่เพียง สิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน ประตู หน้าต่าง ที่ไม่ใช่กระจก กับ ประตู หน้าต่างที่เป็นกระจกก็ต่างกันแล้ว แม้ว่า (มี) แข็งเหมือนกัน แต่ว่า มีอย่างหนึ่ง ที่สามารถจะทำให้สิ่งใดสิ่งหนึ่ง ปรากฏได้ขณะที่เดินผ่านกระจก มีอะไรปรากฏแล้ว แต่เดินผ่านประตูไม้ มีอะไรปรากฏหรือเปล่า ก็ไม่มี.!เพราะฉะนั้น ก็แสดงให้เห็นว่า แม้ชีวิตประจำวันแต่ละขณะนี้ก็เป็นไปตามเหตุ ตามปัจจัย ทั้งสิ้น ตั้งแต่ศรีษะจรดเท้า ซึ่งมีอากาศธาตุแทรกคั่น อย่างละเอียดยิบนี้ มหาภูตรูป ๔ ... ธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม ไม่เปลี่ยนลักษณะ ธาตุดิน ... แข็ง ธาตุน้ำ ... เกาะกุม ธาตุไฟ ... ร้อนอบอุ่น ธาตุลม ... ตึงไหว นั่นก็เป็น "ลักษณะของธาตุ" ที่ต้องเกิดขึ้นเป็นไปอย่างนั้น ไม่มีใครเปลี่ยน "ลักษณะของธาตุนั้นๆ " ได้เลย

"จักขุปสาทรูป" ที่เกิดขึ้น ก็เพราะ "กรรม" เป็นปัจจัย ต้นไม้ ไม่มี "จักขุปสาทรูป" แน่นอน เพราะไม่ได้มี "กรรม" เป็นปัจจัยให้เกิดขึ้น แต่สิ่งซึ่งมีชีวิต ซึ่งมี จิต มี เจตสิก (รูป) ก็จะมีความละเอียด เป็นสิ่งปรุงแต่งมากมาย แล้วก็มีการเกิดดับ เร็วเสียจนกระทั่ง รู้ไหม ว่า ไม่มีอะไรเหลือเลย ในสิ่งที่กำลังปรากฏทางตานี้ แม้ รูป ซึ่งมี อายุ ๑๗ ขณะนั้น ก็เกิดดับสืบต่อกัน ตลอดเวลาเกิดดับสืบต่อ หมดไปๆ อยู่เรื่อยๆ เพราะเหตุที่รูป เกิดดับมากและรวดเร็วมาก และสืบต่อกันๆ ตลอดเวลา ก็ปรากฏเป็น "นิมิต" (และ อนุพัญชนะ) ปรากฏ เป็นรูปร่าง สัณฐาน ที่ทำให้ "สัญญาเจตสิก" จำได้ว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เหมือนว่ายังมีอยู่ เพราะฉะนั้น "ความไม่รู้ความจริง" ในทุกๆ ชาติที่เกิดมา มีมากมายสักแค่ไหน แม้แต่จะรู้ว่า ขณะนี้ ก็อยู่ในโลกของความจำ ในเรื่องราวต่างๆ ทั้งๆ ที่ศึกษา เรื่องจิต เจตสิก รูป แต่ตราบใด ที่ยังไม่รู้ "ลักษณะ" ของสภาพธรรมซึ่งเกิดดับ ก็จะปรากฏเป็นเพียง "นิมิต"

พื้นฐานอภิธรรมวันอาทิตย์ ที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๕๑ ณ อาคารมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

บรรยายโดย อาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ถอดเทปโดย คุณย่าสงวน สุจริตกุล

ขออนุโมทนา


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
suwit02
วันที่ 17 มี.ค. 2552

สาธุ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
hadezz
วันที่ 17 มี.ค. 2552

เพราะไม่รู้ จึงอาศัยมาเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แลดับไป จนกว่าจะรู้ (ปัญญา) และสิ้นอาสวะนั้นแหล่ะคงต้องใช้เวลาในความเพียรอยู่นาน (สั่งสม) ดิฉันเพิ่งจะเริ่มศึกษาพระธรรมจริงๆ ก็ยังต้องใช้ความเพียรเป็นอย่างยิ่ง รู้สึกว่ายากมากแต่ไม่เคยท้อ ต้องอ่าน ต้องฟัง และตรึกตรองวิเคราะห์กันจริงๆ ก็อนุมานได้ว่า ดิฉันคงเริ่มเรียนอนุบาลหนึ่งอยู่สมองอาจจะช้าและล้าไปมากเลย แต่ก็ยังดีใจที่ได้พบกับสิ่งดีๆ กัลยามิตรที่คอยตักเตือน พบท่านอาจารย์สุจินต์ ท่านบรรยายธรรมได้อย่างแยบคายเป็นอย่างยิ่ง เลยทำให้เข้าใจว่า เป็นการยากที่จะได้เกิดมาเป็นมนุษย์ เป็นการยากที่จะได้พระพุทธศาสนาแต่สำหรับดิฉันคิดว่าเป็นสิ่งประเสริฐอย่างยิ่งแล้วไม่มีสิ่งใดประเสริฐไปกว่านี้อีกแล้ว ขออนุโมทนากับคุณพุทธรักษา และทุกท่านด้วยค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
opanayigo
วันที่ 17 มี.ค. 2552

อยู่ในโลกของความจำ และ ความคิด

อนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
พุทธรักษา
วันที่ 18 มี.ค. 2552
อ้างอิงจาก : หัวข้อ 11634 ความคิดเห็นที่ 2 โดย hadezz เพราะไม่รู้ จึงอาศัยมาเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แลดับไป จนกว่าจะรู้ (ปัญญา) และสิ้นอาสวะนั้นแหล่ะคงต้องใช้เวลาในความเพียรอยู่นาน (สั่งสม) ดิฉันเพิ่งจะเริ่มศึกษาพระธรรมจริงๆ ก็ยังต้องใช้ความเพียรเป็นอย่างยิ่ง รู้สึกว่ายากมากแต่ไม่เคยท้อ ต้องอ่าน ต้องฟัง และตรึกตรองวิเคราะห์กันจริงๆ ก็อนุมานได้ว่า ดิฉันคงเริ่มเรียนอนุบาลหนึ่งอยู่สมองอาจจะช้าและล้าไปมากเลย แต่ก็ยังดีใจที่ได้พบกับสิ่งดีๆ กัลยามิตรที่คอยตักเตือน พบท่านอาจารย์สุจินต์ ท่านบรรยายธรรมได้อย่างแยบคายเป็นอย่างยิ่ง เลยทำให้เข้าใจว่า เป็นการยากที่จะได้เกิดมาเป็นมนุษย์ เป็นการยากที่จะได้พระพุทธศาสนาแต่สำหรับดิฉันคิดว่าเป็นสิ่งประเสริฐอย่างยิ่งแล้วไม่มีสิ่งใดประเสริฐไปกว่านี้อีกแล้ว ขออนุโมทนากับคุณพุทธรักษา และทุกท่านด้วยค่ะ

ขอร่วมสนทนาค่ะ

ยาก ... ที่จะมีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ตรัสรู้ ธรรม อย่างนี้ ธรรม อย่างนี้ ยากที่จะเข้าถึง ยาก ที่จะมีผู้ใดกล่าว ธรรม ที่พระองค์ทรงแสดงไว้ได้อย่างถูกต้อง ตรงตามพระธรรมวินัย การศึกษาพระธรรม จึงขาดกัลยาณมิตรไม่ได้เลยความมั่นคงในกุศลธรรม ก็เช่นกันค่ะ

กัลยาณมิตรสูงสุด คือ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น.กัลยาณมิตร ท่านหนึ่ง ในยุคนี้ ผู้กล่าวธรรมที่พระพุทธองค์ทรงแสดงท่านเปรียบตัวท่าน เหมือนผู้นำสาส์นคือ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ผู้ซึ่งคอยเตือนเสมอ ว่า "อย่าขาดการฟัง อย่าลืมว่า ทุกอย่าง เป็นธรรมะ ไม่ใช่เรา" ฯลฯ

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
orawan.c
วันที่ 18 มี.ค. 2552

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
เมตตา
วันที่ 18 มี.ค. 2552

กัลยาณมิตรสูงสุด คือ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น.กัลยาณมิตร ท่านหนึ่ง ในยุคนี้ ... ผู้กล่าวธรรมที่พระพุทธองค์ทรงแสดงท่านเปรียบตัวท่าน เหมือนผู้นำสาส์นคือ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ผู้ซึ่งคอยเตือนเสมอ ว่า "อย่าขาดการฟัง อย่าลืมว่า ทุกอย่าง เป็นธรรมะ ไม่ใช่เรา" ฯลฯ

ขอกราบอนุโมทนาท่านอาจารย์สุจินต์ บรหารวนเขตต์ค่ะ

และขออนุโมทนาคุณพุทธรักษา

เพราะความไม่รู้ในลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฎ จึงอยู่ในโลกของ ความคิดนึก และเรื่องราวต่างๆ ซึ่งไม่มีอยู่จริง

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
chatchai.k
วันที่ 18 ก.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ