เป็นพระโสดาบันในชาตินี้และชาติที่ 3 ยังเป็นอยู่หรือ?

 
เจริญในธรรม
วันที่  3 มี.ค. 2552
หมายเลข  11470
อ่าน  3,822

เป็นพระโสดาบันในชาตินี้และชาติที่ 3 ยังเป็นอยู่หรือ? เป็นอยู่ด้วยเหตุปัจจัยอะไร เห็นว่าการเกิดในชาติต่อไป ชาติที่ปิดอบายแน่

ชาติที่ 2 ไปอุบัติเป็นเทวดา การเสวยสุขในภูมินี้ยาวนาน

หากชาติที่ 3 ต้องมาเกิดเป็นมนุษย์ ครั้นต้องอยู่ในถ้ำมืดถึง 9 เดือน สัญญาความจำย่อมหลงลืมใช่มั๊ย การที่จะจำได้ว่าเคยปฏิบัติอย่างไรในการถึงพระโสดาบัน คงจำไม่ได้แล้ว เกี่ยวกับการสั่งสมลงในจิตหรือครับ แล้วจิตจำได้อย่างไรว่าต้องปฏิบัติตนอย่างไร

การเป็นมนุษย์ในยุคปัจจุบันง่ายต่อการทำบาปมาก แล้วความเป็นโสดาบัน ทำไมถึงต้องเกิดอีกไม่เกิน 7 ชาติ และเป็นไปได้อย่างไรถึง 7 ชาติ จะมีชาติใดชาติหนึ่งล่วงบาปต่อศีลหรือไม่ หากต้องเกิดช่วงที่มนุษย์อายุ 10,000 ปี จะไม่มีสัก 1 วินาที่ที่บาปหรืออย่างไร?


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
prachern.s
วันที่ 4 มี.ค. 2552

พระโสดาบันบุคคลที่พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้มีหลายประเภท คือ บางประเภทจะเกิดอีกชาติเดียว บางประเภทจะเกิดอีก ๒ - ๓ ชาติ บางประเภทจะเกิดอีก ๗ ชาติ ทั้งนี้ขึ้นอยู่ที่ความแก่กล้าของอินทรีย์และอัธยาศัยของแต่ละท่าน ซึ่งเป็นไปตามเหตุทั้งสิ้น ความเป็นพระโสดาบันไม่มีการเสื่อม แม้ในระหว่างภพ ท่านก็ไม่ทำบาปอันจะนำไปสู่อบายใดๆ อีกเลย ไม่ทราบว่าทำไมไปสงสัยคนอื่น สิ่งอื่นที่ไม่ปรากฏล่ะครับขณะนี้ธัมมะกำลังปรากฏ ทำไมไม่ศึกษาเพื่อให้รู้ เพื่อเข้าใจ ว่าเป็นธัมมะ ...

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
paderm
วันที่ 4 มี.ค. 2552

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

ผู้ที่เป็นพระโสดาบันแล้วย่อมละความสงสัยในข้อปฏฺิบัติ ย่อมทราบหนทางในการ ดับกิเลสและไม่เสื่อมจากคุณธรรมไม่ว่าชาติไหนๆ และไม่ล่วงศีลเลย แต่ยังมีอกุศลจิต ได้ครับ พระโสดาบันต่างกับปุถุชนที่ปัญญา ดังนั้น ปัญญาเกิดขึ้นสะสมอยู่ที่จิต ดังนั้น ไม่ว่าชาติไหนปัญญาก็ไม่ได้หายไป ที่สำคัญ การจะเป็นพระโสดาบันก็คือการเข้าใจ สภาพธรรมที่กำลังปรากฎในขณะนี้ ว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา นี่คือประโยชน์ของการศึกษา พระธรรมครับ

ขออนุโมทนา

อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
คุณ
วันที่ 10 มี.ค. 2552

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
จำแนกไว้ดีจ๊ะ
วันที่ 12 มี.ค. 2552

ฯลฯ ไม่ทราบว่าทำไมไปสงสัยคนอื่นสิ่งอื่นที่ไม่ปรากฏล่ะครับ ขณะนี้ธัมมะกำลังปรากฏ ทำไมไม่ศึกษาเพื่อให้รู้ เพื่อเข้าใจ ว่าเป็นธัมมะ (ความคิดเห็นที่ 1) ท่านกล่าวได้ไพเราะซาบซึ้งนัก

ขออนุโมทนา


แต่สหายธรรมก็สงสัยอยู่ดีแหละครับ ทุกวันนี้สหายธรรมก็สงสัยธัมมะที่กำลังปรากฏ และท่านก็อธิบายธัมมะที่กำลังปรากฏอยู่ครับ ท่านก็บอกทุกครั้งว่าต้องฟังๆ ให้เข้าใจ สหายธรรมก็ถามว่าจะปฏิบัติๆ อย่างไร แล้วท่านจะว่าอย่างไร (แต่ผมน่ะไม่ว่ากระไรดอก เพราะเชื่อมาตั้งแต่ปี ๒๕๒๖ แล้วแหละ) ติดตามความเจริญในธรรมของกัลยาณมิตรธรรมทุกท่านครับ

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
Jans
วันที่ 12 มี.ค. 2552

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
wannee.s
วันที่ 14 มี.ค. 2552

คนที่บรรลุเป็นพระโสดาบันแล้วจะมีศีล ๕ บริสุทธิ์ ท่านจะไม่มีทางล่วงศีล ๕ เพราะว่ากิเลสที่ท่านละแล้ว จะไม่หวนกลับมาเกิดอีกเลยในสังสารวัฏฏ์ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
เจริญในธรรม
วันที่ 13 ก.ค. 2552

ยังไม่ตอบโจทย์เลยครับ บางหัวข้อ เช่นของคุณ Prachern คุณWannee ผมก็รู้อยู่แล้ว เช่น คุณ Prachern

พระโสดาบันบุคคลที่พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้มีหลายประเภท คือ บางประเภทจะเกิดอีกชาติเดียว บางประเภทจะเกิดอีก ๒ - ๓ ชาติ บางประเภทจะเกิดอีก ๗ ชาติ

คุณ Wannee

คนที่บรรลุเป็นพระโสดาบันแล้วจะมีศีล ๕ บริสุทธิ์ ท่านจะไม่มีทางล่วงศีล ๕ เพราะว่ากิเลสที่ท่านละแล้ว จะไม่หวนกลับมาเกิดอีกเลยในสังสารวัฎฎ์ค่ะ

คุณ paderm และคุณจำแนก และคุณ Ajarnkruo ก็เช่นกัน บอกผมว่าให้ละสงสัยและอย่าไปสงสัยผู้อื่น กลายเป็นว่าทุกท่านกำลังให้ความรู้ในการเป็นพระโสดาบัน

ซึ่งเป็นความรู้ที่ผมรู้อยู่แล้วอย่างละเอียด และห้ามสงสัย จะไม่กลายเป็นศรัทธาแต่ขาดปัญญาหรือครับ

ผมคิดว่าตราบใดที่ยังเป็นปุถุชน ความสงสัยก็ย่อมมี แต่เรามีความสงสัยเพื่อ มีความรู้ไปอธิบายให้ผู้อื่นได้อย่างถูกต้อง พระพุทธองค์บอกว่าการที่เราจะไปสอนผู้อื่น ให้เราศึกษาให้ถ่องแท้เสียก่อน

แต่ทั้งหมดนี้ยังไม่ได้ตอบโจทย์ผมเลย และเราในฐานะสาวกของพระพุทธเจ้า ต้องไม่ได้เชื่ออย่างงมงาย ควรเชื่อตามหลักกาลามสูตรหรือไม่ และผมคิดว่าแค่อ่านโจทย์ผมแล้วตอบอีกอย่างผมคิดว่านี่ก็ยังคลาดเคลื่อนเลยครับ ขอฝากด้วยครับ

สรุปง่ายๆ ที่ผมได้ถามไป

1. การเป็นโสดาบัน ตั้งแต่ชาตินี้ไป ชาติต่อๆ ไปทำไมยังเป็นอีก มีอะไรสืบต่อ และสืบต่อได้อย่างไร มีอะไรมาบงการ จิต และในชาติที่ 2 - 6 จะไม่กล่าวล่วงบาปหรือไม่เป็นไปได้หรือ เช่น ชาติที่ 3 เป็นมนุษย์ และในวัยเด็กยังไม่รักษาศีล ยังไม่รู้ศาสนาเกิดตบยุง การเป็นโสดาบันที่เคยเป็นในชาติ1จะขาดสะบั้นลงหรือไม่

ยังไงก็ขอขอบคุณในเจตนาที่ดีของทุกท่านด้วยนะครับ

ขอบคุณครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
prachern.s
วันที่ 14 ก.ค. 2552

ถ้าท่านศึกษาเข้าใจความหมายของคำว่า บรรลุเป็นพระอริยบุคคล ท่านก็จะหมด ความสงสัยเพราะการบรรลุเป็นพระอริยบุคคลไม่มีการเสื่อม แม้จะสิ้นชีวิต เปลี่ยนภพ ชาติ เปลี่ยนไปเป็นบุคคลใหม่ ความเป็นอริยะก็คงสืบต่อในสันดาน คือจิตของท่านอยู่ ตลอดไป แม้ว่าท่านจะกลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีก จิตที่คิดจะล่วงศีลห้า ย่อมไม่มี ไม่ ต้องกล่าวถึงการฆ่าสัตว์เลย เพราะอกุศลเจตนาที่มีกำลังขั้นหยาบนั้น ท่านดับเป็น สมุจเฉทตั้งแต่มรรคจิตเกิดขึ้นแล้วครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
จำแนกไว้ดีจ๊ะ
วันที่ 14 ก.ค. 2552

ความเป็นเรา ร่างกายไม่สืบต่อแน่ คุณ เจริญในธรรม ก็คงทราบ แต่จิตสืบต่อด้วยปัจจัยในชาตินี้ ไปเกิดจิตในชาติต่อไป คุณ เจริญในธรรม ก็คงทราบ (อย่างเช่นวิถีจิตทางมโนทวารรู้รูปเดียวกับทางปัญจทวารซึ่งเพิ่งดับไป) แล้วจิตในชาติต่อไปก็เป็นปัจจัยให้รูปเกิดขึ้น ศึกษาสภาพธรรมที่ปรากฎเพื่อประจักษ์ปรมัตถ์

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
วันใหม่
วันที่ 16 ก.ค. 2552

การเป็นมนุษย์ในยุคปัจจุบันง่ายต่อการทำบาปมาก แล้วความเป็นโสดาบัน ทำไมถึงต้องเกิดอีกไม่เกิน 7 ชาติ และเป็นไปได้อย่างไรถึง 7 ชาติ จะมีชาติใดชาติหนึ่งล่วงบาปต่อศีลหรือไม่ หากต้องเกิดช่วงที่มนุษย์อายุ 10,000 ปี จะไม่มีสัก 1 วินาที่ที่บาปหรืออย่างไร?

ควรทราบความหมายของคำว่าบาป บาปคือสภาพธรรมที่ไม่ดี เป็นอกุศล แต่บาปมี หลายระดับ บาปที่เป็นเพียงอยู่ในใจ ไม่ได้ล่วงออกมาทางกาย วาจา บาปที่สามารถ ล่วงออกมาทางกาย วาจา มีกำลังจนทำอกุศลกรรมอันเป็นเหตุให้ไปนรก เป็นต้น ดังนั้น บาปที่เพียงอกุศลจิตไม่เป็นเหตุให้ไปนรก แต่สะสมเป็นอุปนิสัยได้ พระโสดาบันยังมี บาปที่เป็นอกุศลจิตเกิดอยู่ เช่น เกิดความโกรธขุ่นใจ แต่ไม่ล่วงออกมาจนต้องฆ่าสัตว์ ดังนั้นบาปของท่านไม่ทำให้ท่านต้องไปอบายภูมิเลย ไม่ว่าจะเกิดที่ไหน สังคมแบบไหนก็ตาม ท่านก็จะไม่ทำบาปจนเป็นอกุศลกรรม แต่ยังมีบาปที่เป็นอกุศลจิต

ควรทราบว่า พระโสดาบันดับกิเลสมีความเห็นผิด เป็นต้น จนหมดไม่มีเหลือ หมาย ความว่ากิเลสที่ท่านดับแล้วจะไม่กลับมาเกิดอีกเลย เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะไปเกิดในภพ ภูมิใดหลังจากเป็นพระโสดาบันแล้ว กิเลสที่ดับไปแล้วจะไม่กลับมาเกิดอีก ความเป็น พระอริยะจึงยังอยู่และเข้าใจหนทางปฏิบัติด้วย เพราะปัญญาที่ดับกิเลสและที่สะสมมา ไม่ได้หายไปไหน ไม่เช่นนั้นแล้วการศึกษาธรรมและอบรมปัญญาก็เป็นโมฆะ แต่ตาม ความเป็นจริง จิตเป็นสภาพธรรมที่สะสม สะสมทั้งฝ่ายดีและไม่ดีด้วย รวมทั้งสะสม ปัญญาที่สะสมมาจนถึงความเป็นพระอริยะนั่นเอง

[เล่มที่ 22] พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม ๓ ภาค ๑ - หน้าที่ 308

ถามว่า ก็พระอริยสาวก พึงปลงชีวิตคนอื่นหรือ

ตอบว่า แม้ข้อนั้นก็ไม่ใช่ฐานะ (ที่มีได้) ก็ถ้าใครๆ จะพึงกล่าวกะพระอริยสาวก ผู้อยู่ในระหว่างภพ (ผู้ยังเวียนว่ายตายเกิด) ทั้งที่ไม่รู้ว่าตนเป็นพระอริยสาวก แม้อย่างนี้ว่า ก็ท่านจงปลงชีวิตมดดำ มดแดงนี้แล้ว ครอบครองความเป็นพระเจ้าจักรพรรดิในห้องจักรวาลทั้งหมด ดังนี้ ท่านจะไม่ปลงชีวิตมดดำ มดแดงนั้นเลย แม้ถ้าจะกล่าวกะท่านอย่างนี้ว่า ถ้าท่าน จักไม่ฆ่าสัตว์นี้ ฉันจักตัดศีรษะท่าน แต่ท่านจะไม่ฆ่าสัตว์นั้น

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
วันใหม่
วันที่ 16 ก.ค. 2552

ประเด็นทำไมพระโสดาบันเกิดอีกเพียง 7 ชาติ

พระโสดาบันมีหลายประเภท บางประเภทเกิดเพียงชาติเดียวก็บรรลุเพราะมีปัญญามาก บางประเภทก็เกิด ๒ - ๓ ชาติก็บรรลุเป็นพระอรหันต์ แต่บางประเภทเกิดอีกเพียง ๗ ชาติ ถึงบรรลุเป็นพระอรหันต์ คำถามว่าทำไมไม่เกิดเกินกว่า ๗ ชาติ

ต้องเข้าใจว่าพระโสดาบันเป็นผู้เที่ยงที่จะได้ตรัสรู้ ดับกิเลสหมดเพราะท่านเข้าใจ หนทางและประจักษ์พระนิพพานแล้ว แม้ท่านเป็นพระโสดาบันท่านก็ยังอบรมปัญญา จนท้ายสุด ญาณแก่กล้า (ปัญญา) ก็สามารถบรรลุเป็นพระอรหันต์ ซึ่งในพระไตรปิฎก แสดงไว้ว่า ญาณ (ปัญญา) ของพระโสดาบันมีท้าวสักกะ เป็นต้น ย่อมแก่กล้า สุกรอบ พร้อมบรรลุในชาติที่ ๗ ไม่เกินไปกว่าชาติที่ ๘ เมื่อปัญญาแก่กล้าท่านก็บรรลุเป็นพระอรหันต์ ดังข้อความดังต่อไปนี้

[เล่มที่ 78] พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้าที่ 688

จริงอยู่ พระโสดาบันผู้ยินดียิ่งในภพแม้เช่นกับท้าวสักกะก็ย่อมไปสู่ภพที่ ๗ เท่านั้น แม้ท่านมีปกติอยู่ด้วยความประมาทโดยอาการทั้งปวง วิปัสสนาญาณของท่านก็ย่อม ถึงความสุกรอบในภพที่ ๗ เพราะเมื่อท่านเบื่อหน่ายในอารมณ์แม้มีประมาณน้อยแล้ว ย่อมบรรลุพระนิพพานได้ ก็แม้ถ้าว่าเมื่อท่านก้าวลงสู่ความหลับ หรือว่า กำลังเดิน ไป มีใครๆ ที่จะประทุษร้ายยืนอยู่ในที่ลับข้างหลัง พึงยังศีรษะของท่านให้ตกไปด้วย ดาบอันคมกล้า หรือพึงจับท่านกดลงในน้ำให้ตาย ก็หรือว่า สายฟ้าพึงตกลงบน ศีรษะ ในเวลาแม้เห็นปานนี้ชื่อว่า การทำกาละ ปฏิสนธิในภพที่ ๘ อีก ย่อมไม่มี ย่อมจะบรรลุพระอรหัตนั่นแหละแล้วปรินิพพาน. ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงตรัสว่าพระโสดาบันพึงยังภพที่ ๘ ให้เกิด ดังนี้ ไม่ใช่ฐานะที่มีได้ ดังนี้

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
khampan.a
วันที่ 16 ก.ค. 2552

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
สุภาพร
วันที่ 1 ก.ย. 2552

กราบเรียนอาจารย์ประเชิญ ขอถามข้อข้องใจค่ะ ถ้าพระโสดาบันบรรลุเป็นพระอรหันต์แล้ว แสดงว่าท่านต้องเจริญอริยมรรค เป็นอริยบุคคลตามขั้น จนถึงพระอรหันต์ใช่ไหมค่ะ

ขอขอบพระคุณและอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
วิริยะ
วันที่ 1 ก.ย. 2552

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
prachern.s
วันที่ 1 ก.ย. 2552

เรียน ความเห็นที่ 13

ถูกต้องครับ ปัญญาต้องเจริญขึ้นตามลำดับ คือ เมื่อเป็นพระโสดาบันแล้ว ท่าน อบรมเจริญปัญญาต่อย่อมบรรลุเป็นพระสกทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต์

 
  ความคิดเห็นที่ 16  
 
thanawat.kunnawat.1997
วันที่ 19 ม.ค. 2564

ผมเคยได้ยินมาว่า

พระโสดาบัน : ละสังโยชน์ได้ 3 ข้อแรก (เกิดอีกไม่เกิน 7 ชาติ แล้วเข้าสู่นิพพาน)

พระสกทาคามี : ละสังโยชน์ได้ 3 ข้อแรกเหมือนพระโสดาบัน แต่สังโยชน์ข้อ 4-5 เบาบางลง (เกิดอีกไม่เกิน 2-3 ชาติ แล้วเข้าสู่นิพพาน)

พระอนาคามี : ละสังโยชน์ได้ 5 ข้อแรก (เกิดอีกแค่ชาติเดียว แล้วเข้าสู่นิพพาน)

พระอรหันต์ : ละสังโยชน์ได้หมดทั้ง 10 ข้อ (เข้าสู่นิพพานทันที ไม่มีการเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป)

 
  ความคิดเห็นที่ 17  
 
chatchai.k
วันที่ 25 ม.ค. 2564

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 18  
 
chatchai.k
วันที่ 25 ม.ค. 2564

[เล่มที่ 34] พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้าที่ ๔๕๗

ลักษณะพระโสดาบัน

บทว่า ธุวสีโล แปลว่า ผู้มีศีลประจำ

บทว่า ตสีโล แปลว่า ผู้มีศีลมั่นคง

บทว่า โสตาปนฺโน ได้แก่ ผู้เข้าถึงผล ด้วยมรรคที่เรียกว่า โสตะ

บทว่า อวินิปาตธมฺโม ได้แก่ มีอันไม่ตกไปในอบาย ๔ เป็นสภาพ

บทว่า นิยโต ได้แก่ ผู้เที่ยงด้วยคุณธรรมเครื่องกำหนด คือ โสดาปัตติมรรค

บทว่า สมฺโพธิปรายโน ได้แก่มีปัญญา เครื่องตรัสรู้พร้อม คือ มรรค ๓ เบื้องสูง ที่เป็นไปในเบื้องหน้า

ลักษณะพระสกทาคามี

บทว่า ตนุตฺตา แปลว่า เพราะ (กิเลสทั้งหลาย) เบาบาง อธิบายว่า กิเลสทั้งหลาย มีราคะเป็นต้น ของพระสกทาคามี เบาบาง ไม่แน่นหนา เปรียบเหมือนชั้นแผ่นเมฆ และเปรียบเหมือนปีกแมลงวัน

 
  ความคิดเห็นที่ 19  
 
chatchai.k
วันที่ 25 ม.ค. 2564

ทุติยมรรค

มรรคที่สอง หมายถึง สกทาคามิมัคคจิต เป็นโลกุตตรกุศลจิตที่เกิดขึ้นเป็นครั้งที่สองในสังสารวัฏฏ์ ทำให้อนุสัยกิเลสที่เหลือจากการประหาณของโสดาปัตติมัคคจิตเบาบางลง

เชิญอ่านเพิ่มเติม...

พระสกทาคามี [ธาตุกถา-บุคคลบัญญัติ]

สังโยชน์ของพระอริยบุคคล [มหาวารวรรค]

พระอริยบุคคลมีหลายระดับขั้น

 
  ความคิดเห็นที่ 20  
 
Purisachaneeya
วันที่ 4 พ.ค. 2564

ขอความเมตตาผู้รู้แจ้งให้ผมทราบด้วยครับ  พระโสดาบันละสักายทิฏฐิได้แล้ว คือ รู้ว่ารูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณนั้นไม่มีอยู่จริง เป็นอนัตตา แต่เหตุใดยังมีความพึงพอใจในรูปรสกลิ่นเสียง กามราคะฯ ทั้งๆที่รู้และละทิ้งได้แล้วครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 21  
 
chatchai.k
วันที่ 4 พ.ค. 2564

ขอเชิญอ่านเพิ่มเติม...

การเป็นพระโสดาบัน การละสักกายทิฏฐิ

ขันธ์ ๕ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ มีอยู่จริง เป็นอนัตตา ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน

สักกายทิฏฐิ เป็นความเห็นผิดที่ยึดถือสภาพธรรม คือ ขันธ์ ๕ ว่าเป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นเรา เป็นของเรา ซึ่งผิดไปจากความเป็นจริงของสภาพธรรม

พระโสดาบัน เป็นพระอริยบุคคลขั้นต้น ดับกิเลสได้ในระดับหนึ่งเท่านั้น ยังไม่สามารถดับกิเลสได้หมดสิ้น เพราะผู้ที่ดับกิเลสได้หมดสิ้นต้องเป็นพระอรหันต์เท่านั้น พระโสดาบันยังมีความรัก ความติดข้อง ยังมีความขุ่นเคืองใจ ยังมีอวิชชา


พระโสดาบันยังละกามราคะไม่ได้ทั้งหมด ละ ราคะ โทสะ โมหะ ที่เป็น เหตุไปสู่อบาย ดังแสดงในพระสูตร ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 22  
 
chatchai.k
วันที่ 4 พ.ค. 2564

[เล่มที่ 36] พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต เล่ม ๓ - หน้าที่ ๘๑๘

ปหีนสูตร

ว่าด้วยธรรมที่พระโสดาบันละได้แล้ว

[๓๖๑] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๖ ประการนี้ อันบุคคลผู้ถึง พร้อมด้วยทิฏฐิละได้แล้ว ธรรม ๖ ประการเป็นไฉน คือ สักกายทิฏฐิ ๑ วิจิกิจฉา ๑ สีลัพพตปรามาส ๑ ราคะที่เป็น เหตุไปสู่อบาย ๑ โทสะที่ เป็นเหตุไปสู่อบาย ๑ โมหะที่เป็น เหตุไปสู่อบาย ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๖ ประการนี้แล อันบุคคลผู้ถึง พร้อมด้วยทิฏฐิละได้แล้ว

จบปหีนสูตรที่ ๖

 
  ความคิดเห็นที่ 23  
 
chatchai.k
วันที่ 4 พ.ค. 2564

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

อบรมปัญญาให้เข้าใจความจริง จะเป็นประโยชน์ทั้งชาตินี้ และชาติต่อๆ ไป กุศลที่ทำได้เสมอๆ คือ การฟังพระธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง มีคุณค่ามหาศาลสำหรับชีวิตที่ต้องเดินทางต่อไป อีกแสนไกล และกันดาร

ขอเชิญศึกษาพระธรรม...

รวมลิงก์เมนูต่างๆ ในเว็บไซต์

พระไตรปิฎก

ฟังธรรม

วีดีโอ

ซีดี

หนังสือ

กระดานสนทนา

การที่ได้มีโอกาสศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรม ทำให้มีความเข้าใจตามความเป็นจริงว่า ทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏแล้วก็หมดไป ไม่ว่าจะเป็นทางตา ทางหูทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ จิตทุกขณะเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป หมดไป ไม่มีอะไรเหลือเลยจริงๆ จากภพหนึ่งไปอีกภพหนึ่ง ดังนั้น เมื่อเป็นเช่นนี้ สิ่งที่ควรสั่งสมไปทุกภพทุกชาติ นั่นก็คือ กุศล (รวมถึงการอบรมเจริญปัญญา ในชีวิตประจำวันด้วย)

 
  ความคิดเห็นที่ 24  
 
สิริพรรณ
วันที่ 20 ส.ค. 2565

กราบขอบพระคุณยินดีในกุศลทุกท่านค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ