นึกถึงเรื่องอื่นเลยลืมนึกถึงเรื่องศีล

 
Nareopak
วันที่  16 ก.พ. 2552
หมายเลข  11277
อ่าน  897

เด็กป่วยรายหนึ่งใกล้เสียชีวิต สิ่งที่เขาอยากได้ก่อนจากโลกนี้ไปคือ..โทรศัพท์มือถิอ.. ย่าเป็นชาวบ้านไม่รู้ว่าจะซื้ออย่างไร.. ที่สำคัญไม่มีเงิน

ดิฉันจึงหาทางออกโดยการให้ย่าเด็กทำทีเป็นพูดโทรศัพท์ไปสั่งให้ญาติที่อยู่ต่าง จังหวัดซื้อมาให้ (แต่ความจริงขณะพูดยังไม่ได้เปิดเครื่อง)

เด็กรู้..จึงไม่ยอม ร้องไห้ (ถึงแม้จะอธิบายด้วยเหตุผลแล้วก็ตาม..เด็กก็ยังไม่ยอม) และให้ย่าไปซื้อมาให้ได้

ดิฉันเดินออกมานอกห้องกับย่าเด็ก บอกให้ย่าไปนั่งพักผ่อนอารมณ์ที่ร้านค้าสัก 20 นาที แล้วค่อยกลับไปที่ห้องบอกกับหลานว่า "ยี่ห้อที่หลานต้องการร้านค้าแถวนี้ไม่มีขาย จึง ไม่ได้ซื้อมาให้...กลัวไม่ถูกใจ"

ดิฉันผิดศีลข้อ 4 (มุสา) แล้วหรือไม่


  ความคิดเห็นที่ 2  
 
paderm
วันที่ 16 ก.พ. 2552

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

ขณะนั้นคิดอย่างไร ตั้งใจหรือมีเจตนาที่จะให้คุณยายกล่าวให้ผิดจากความจริงหรือไม่ สำคัญที่เจตนาของคุณเองครับ เรื่องราวผ่านไป จิตก็เกิดขึ้นและดับไปนานแล้ว ไม่มีใครไปตัดสินได้นอกจากขณะที่ สติและสัมปชัญญะของตนเองที่จะรู้ว่าขณะนั้นมีเจตนาอย่างไรครับ หากอยู่กับปัจจุบัน มากขึ้น มั่นคงว่าเพื่อเข้าใจสภาพธรรมที่มีในขณะนี้ ขณะนี้กำลังหลงลืมว่ามีธรรมไม่ใช่ เรา ก็จะทำให้ใส่ใจในลักษณะของสภาพธรรมที่มีในขณะนี้ครับ

เชิญคลิกอ่านเพิ่มเติมที่นี่ครับ ...

ผู้มีราตรีหนึ่งเจริญ [ภัทเทกรัตตสูตร]

อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
Sam
วันที่ 17 ก.พ. 2552

ต้นเหตุของเรื่องที่เล่ามานี้เกิดจากความต้องการของเด็ก ที่เราอาจสรุปแล้วว่ากำลัง จะจากโลกนี้ไป ทั้งๆ ที่เราไม่มีญาณหยั่งรู้วาระแห่งการจุติของสัตว์ และธรรมทั้งหลาย เป็นอนัตตา (อาจมีเหตุอื่นเป็นปัจจัยให้เขามีชีวิตอยู่ต่อไปก็ได้) และเราอาจสรุปแล้ว ว่าโทรศัพท์เป็นสิ่งสุดท้ายที่เขาต้องการ ทั้งๆ ที่ทรงแสดงไว้ว่าโลภะเสมือนทะเลที่ถม ไม่เต็ม ไม่มีคำว่าอิ่มหรือพอสำหรับโลภะ

ผมคิดว่าเราไม่จำเป็นต้องให้สิ่งที่ผู้อื่นเพียงแค่อยากได้ แต่ควรให้ในสิ่งที่เป็น ประโยชน์กับเขามากกว่า เพราะว่าในบางกรณี ผู้ที่อ่อนเยาว์หรือขาดการศึกษาก็ไม่รู้ แม้แต่ความต้องการของตน ว่าจริงๆ แล้วคืออะไรหรือมีประโยชน์อย่างไร แต่การให้ สิ่งที่เป็นประโยชน์ไม่ว่าจะเป็นสิ่งของ (อามิสทาน) หรือเป็นคำแนะนำที่ดี (ธรรมทาน) ย่อมเป็นการเกื้อกูลแก่ผู้รับ โดยเฉพาะธรรมทานนั้นจะเป็นประโยชน์ทั้งแก่ผู้ให้และ ผู้รับ ทั้งในโลกนี้และในโลกหน้า

ในประเด็นการผิดศีลหรือไม่นั้น คำตอบที่ตรงคือหากครบองค์ของอทินนาทานก็ย่อม เป็นการล่วงศีล หากไม่ครบองค์ก็ไม่ล่วงศีล ซึ่งจริงๆ แล้วเราไม่ควรห่วงกังวลกับสิ่งที่ ผ่านมาแล้วให้มากนัก เพราะในสังสารวัฏอันหาจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดไม่ได้นี้ เราล่วง ศีลมาแล้วมากมาย และจะยังมีโอกาสล่วงศีลอีกต่อไปในอนาคตตราบที่ยังไม่บรรลุ อริยสัจจธรรมเป็นพระอริยบุคคล อันเป็นผู้ที่ดับเหตุแห่งการล่วงศีลแล้ว

ดังนั้น สิ่งที่ควรพิจารณาคือ ขณะนี้เราได้ศึกษาพระธรรมและปฏิบัติธรรมสมควรแก่ ธรรมแล้วหรือยัง เพราะการศึกษาพระธรรมที่ถูกต้องและการประพฤติปฏิบัติตามพระ ธรรมที่ได้ศึกษาแล้วเท่านั้น ที่จะเป็นปัจจัยให้เป็นผู้ที่ไม่ล่วงศีลอีกเลยครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
พุทธรักษา
วันที่ 17 ก.พ. 2552

ขออนุโมทนาในกุศลจิตค่ะ...ขอขอบคุณสำหรับคำแนะนำดีๆ ในส่วนที่เป็นคำแนะนำของคุณ K.

ดังนั้น สิ่งที่ควรพิจารณาคือ ขณะนี้ เราได้ศึกษาพระธรรม และปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมแล้วหรือยัง เพราะการศึกษาพระธรรมที่ถูกต้องและการประพฤติปฏิบัติตามพระธรรม ที่ได้ศึกษาแล้วเท่านั้น ที่จะเป็นปัจจัยให้เป็นผู้ที่ไม่ล่วงศีลอีกเลยครับ

(สำหรับข้าพเจ้าแล้ว...สุภาษิตบทนี้ น่าพิจารณาและจดจำไว้ให้มั่นจึงขออนุญาตนำข้อความของท่านมาจัดใหม่ เพื่อการสะดวกในการทบทวน (ของตัวเอง) นะคะ) โดยส่วนตัวแล้ว ข้าพเจ้าคิดว่าตัวเองยังไม่ได้ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมอีกทั้งศรัทธายังไม่มั่นคง และยังขาดความเมตตาอยู่มาก จิตใจจึงไม่สงบโอกาสที่จะล่วงศีลเพราะโทสะ มีมากเหลือเกิน รู้ก็รู้ว่าไม่ดี (แต่ไม่รู้จริง) จึงได้แต่พยายามระงับโทสะที่เกิดทางใจ ไม่ให้ล่วงออกมาทางกาย วาจาเท่าที่จะเป็นไปได้เท่านั้น. (โดยส่วนตัว สังเกตเห็นว่า...ความเมตตาที่มีต่อสัตว์ หรือเด็กเล็กๆ เกิดง่ายกว่า...เช่นโดนสัตว์กัด หรือเจอเด็กดื้อ อภัยให้เขาได้เร็วกว่ามาก)

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
suwit02
วันที่ 18 ก.พ. 2552

สาธุ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
Sam
วันที่ 18 ก.พ. 2552

เรียน คุณพุทธรักษา ความคิดเห็นที่ 4 ครับ

ผมคิดว่า ผู้ที่เดินบนหนทางอันขรุขระ ซึ่งเป็นหนทางไปสู่ที่หมายอันเกษม ประเสริฐกว่าผู้เดินบนหนทางอันราบเรียบ แต่เป็นหนทางไปสู่ภัยครับ ที่หมายยังอยู่อีกแสนไกล แต่มีผู้บอกทางอย่างถูกต้องแล้ว และยังมีเพื่อน ร่วมทางอีกหลายคน (เวลาที่หินเจาะเท้าคนอื่นเราก็ไม่รู้ รู้แต่เวลาที่หินเจาะ เท้าของเราเท่านั้น)

มิตรที่ดีจึงควรตักเตือนกันและกัน และควรทำให้ผู้ร่วมทางมั่นใจว่าเดินมา ถูกทางแล้ว ขอให้ทุกคนอาจหาญร่าเริง ค่อยๆ ก้าวเดินต่อไปครับ

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
พุทธรักษา
วันที่ 18 ก.พ. 2552

ขอขอบพระคุณอย่างสูงค่ะ

.ด้วยความนับถืออย่างยิ่ง.

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
paderm
วันที่ 18 ก.พ. 2552

กิเลสเกิดรู้ว่ามีกิเลสเป็นบัณฑิต กิเลสเกิดไม่รู้ว่าเป็นกิเลสเป็นคนพาล หนทางการดับกิเลสต้องมั่นคงก่อนว่าให้รู้ว่าเป็นธรรมไม่ใช่เราก่อนครับ

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
pornpaon
วันที่ 18 ก.พ. 2552

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
ajarnkruo
วันที่ 19 ก.พ. 2552

"นึก" ถึงเรื่องอื่นเลย "ลืม" "นึก" ถึงเรื่องศีลการที่จะ นึกได้ หรือ ลืมนึกจะเห็นได้ว่า...ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของเราเลย...แม้แต่ขณะเดียวไม่ว่าเรื่องที่ "นึก" นั้นจะเป็นไปในทางกุศล หรือ อกุศล แต่ "เรื่อง" ไม่มีจริง "นึก" เท่านั้นที่มีจริง เป็นสภาพนามธรรมอย่างหนึ่ง ที่ควรจะระลึกได้ว่า "ไม่ใช่เรา" ครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ