องค์ใด พระสัมพุทธ ฯ ...

 
pannipa.v
วันที่  5 ก.พ. 2552
หมายเลข  11150
อ่าน  10,047

ขอนอบน้อมแด่ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์นั้น

ครั้งหนึ่งไม่นานนัก (เมื่อเทียบกับสังสารวัฏฏ์) ที่ กุสินารา สถานที่ๆ พระพุทธองค์ เสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน เมื่อได้กราบนมัสการแล้ว ทุกคนได้ กล่าวบทสวดสรรเสริญพระพุทธคุณ ทำนองสรภัญญะ พร้อมกันว่า ...

(ขณะอ่าน ลองกล่าวตาม แล้วแต่ละท่านรู้สึกอย่างไร?) องค์ใด พระสัมพุทธ สุวิสุท ธ สันดาน ตัดมูล กิเลสมาร บ มิหม่น มิหมองมัว หนึ่งใน พระทัยท่าน ก็เบิกบาน คือ ดอกบัว ราคี บ พันพัว สุวคน ธ กำจร

องค์ใด ประกอบด้วย พระกรุณา ดังสาคร โปรดหมู่ประชากร มละ โอฆะกันดาร

ชี้ทางบรรเทาทุกข์ และชี้สุข เกษมสานต์

ชี้ทาง พระนฤพาน อันพ้นโศก วิโยคภัย


พร้อมเบญ จ พิธจัก ษุ จรัส วิมลใส เห็นเหตุ ที่ใกล้ไกล ก็เจนจบ ประจักษ์จริง กำจัด น้ำใจหยาบ สันดานบาป แห่งชายหญิง สัตว์โลก ได้พึ่งพิง มละบาป บำเพ็ญบุญ

ข้าขอ ประณตน้อม ศิระเกล้า บังคมคุณ

สัมพุท ธ การุณ ญ ภาพนั้น นิรันดร ...

ณ สถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ นั้น แต่ด้วยปัญญาอันน้อยนิด จึงพิจารณาไม่ ได้ เสียงก็ค่อยๆ สั่น จนเมื่อถึง ข้าขอ ประณตน้อม ... ญ ภาพนั้น นิรันดร ...

น้ำตาก็ไหลริน แต่จากการได้ยิน ได้ฟังพระธรรม ก็เข้าใจได้เมื่อขณะล่วงไป แล้วว่า เป็นกุศล หรือ อกุศล แต่ความรู้สึก สังเวช หรือ สังเวค ยังไม่เกิดปรากฏ เลย กับผู้มีปัญญาน้อย จะมีปรากฏก็แต่ความรู้สึกเศร้าใจ (กุศลก็เกิดบ้างขณะนอบ น้อม ระลึกถึงพระพุทธคุณ) อีกไม่กี่วันนี้ (๑๖ก.พ.) ก็จะได้ไปกราบนมัสการ ณ สถานที่อันศักดิ์สิทธิ์นี้อีก ครั้ง แม้อาจไม่เกิดสังเวช ด้วยปัญญา แต่ก็หวังว่า คงไม่ถึงกับน้ำตาไหล วันนี้ คิดได้อย่างนี้ แต่ "สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา"


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
suwit02
วันที่ 5 ก.พ. 2552

สาธุ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
ศิณอนงค์
วันที่ 5 ก.พ. 2552
ขออนุโมทนาค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
paderm
วันที่ 5 ก.พ. 2552

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 312 พระผู้มีพระภาคเจ้า รับสั่งกะท่านพระอานนท์ผู้นั่งเรียบร้อยแล้วว่าอย่าเลยอานนท์ เธออย่าเศร้าโศกร่ำไรไปเลย เราได้บอกไว้ก่อนแล้วไม่ใช่หรือว่าความเป็นต่างๆ ความพลัดพราก ความเป็นอย่างอื่นจากของรักของชอบใจทั้งสิ้นต้องมี ข้อนั้นจะหาได้ในของรักของชอบใจนี้แต่ที่ไหน สิ่งใดเกิดแล้ว มีแล้ว ปัจจัยปรุงแต่งแล้ว มีความทำลายเป็นธรรมดาความปรารถนาว่าขอสิ่งนั้นอย่าทำลายไปเลยดังนี้ นั่นไม่เป็นฐานะที่จะมีได้

พระปัจฉิมวาจา

[๑๔๓] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้ารับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่าดูก่อนภิกษุทั้งหลาย

บัดนี้ เราขอเตือนพวกเธอว่า สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา พวกเธอจง

ยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด. นี้เป็นพระปัจฉิมวาจาของพระตถาคต.

อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
pornpaon
วันที่ 5 ก.พ. 2552

ขออนุโมทนาค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
khampan.a
วันที่ 6 ก.พ. 2552

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

บุคคลที่เกิดมาแล้ว ล้วนมีความตายเป็นเบื้องหน้าด้วยกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม มั่งมี ยากจน โง่เขลา หรือ ฉลาด เป็นต้น ไม่มีใครล่วงพ้นความตายไปได้เลยแม้แต่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ทรงเป็นบุคคลผู้ประเสริฐที่สุด ทรงเป็นผู้เลิศที่สุดในโลก พระองค์ก็เสด็จดับขันธปรินิพพาน พระองค์ได้ทรงกระทำที่พึ่งให้แก่พระองค์แล้ว และที่สำคัญ พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงแล้วนั้น จะเป็นศาสดาแทนพระองค์ ที่จะทำให้พุทธบริษัทผู้ที่สั่งสมเจริญบารมีมาได้ฟัง ได้ศึกษาอบรมเจริญปัญญา สามารถที่จะดับกิเลสได้อย่างเด็ดขาด เป็นการละชาติสังสารได้ไม่มีการเกิดอีกเลยในสังสารวัฏฏ์ เป็นผู้สิ้นทุกข์โดยประการทั้งปวง ดังนั้น เมื่อยังมีชีวิตเหลืออยู่ การมีโอกาสได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญา สั่งสมความเข้าใจถูกเห็นถูกขึ้นเป็นลำดับ จึงมีค่าเป็นอย่างยิ่ง เพราะไม่มีใครสามารถที่จะล่วงรู้ได้ว่าวันสุดท้ายของชีวิตในภพนี้ชาตินี้จะสิ้นสุดลงเมื่อใด จึงเป็นผู้ประมาทไม่ได้เลย ครับ ...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
chamaikorn
วันที่ 6 ก.พ. 2552

อนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
choonj
วันที่ 6 ก.พ. 2552

ตอนไปเมืองกุสินาราได้ไปนมัสการพระนอน จำได้ว่ามีพระภิษุสวดสรรเสริญพระพุทธคุณในทำนองที่เศร้ามาก จนอดไม่ได้น้ำตาไหล ตอนนี้อ่าน องค์ใด พระสัมพุทธและเห็นพระนอนด้วย ก็อดไม่ได้อีกน้ำตาก็ไหลอีก ทำให้รู้ว่าต้องสะสมความเศร้าไว้มากอย่างแน่นอน แต่ก็แปลกนะทำไมน้ำตาต้องไหลเมื่อเห็นพระนอน ครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
เมตตา
วันที่ 7 ก.พ. 2552

ขอนอบน้อมแด่ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์นั้น

เมื่อหลายปีที่ผ่านมาแล้วก็ได้มีโอกาสไปนมัสการสถานที่ซึ่งพระพุทธองค์ เสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน ตอนนั้นยังไม่ค่อยเข้าใจพระธรรมเท่าไรนัก แต่มีความ ศรัทธาในพระมหากรุณาคุณเป็นอย่างสูง ขณะที่เข้าไปเพื่อกราบนมัสการมีความรู้ สึกว่ากำลังอยู่ในเหตุการณ์นั้นจริงๆ น้ำตาไหลอาบแก้ม ขณะนั้นอกุศลจิตเกิดสลับ กับกุศลจิต ...

อีกไม่กี่วันข้างหน้าจะได้มีโอกาสไปกราบนมัสการสังเวชนียสถาน สองสามแห่งที่อินเดีย ในวันนี้ได้เข้าใจพระธรรมมากขึ้น พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า ไม่ทรงสรรเสริญแม้อกุศลเพียงเล็กน้อย เพราะอกุศลนั้นให้ผลเป็นความทุกข์ แต่ สภาพธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตาอาจจะน้ำตาอาบแก้มอีกก็ได้ในขณะที่ไปนมัสการยังสังเวชนียสถาน แต่เมื่อได้เข้าใจสภาพธรรมที่กำลังปรากฎในขณะนี้มากขึ้น อาจ เป็นเหตุปัจจัยน้อมระลึกลักษณะสภาพธรรมที่โศรกเศร้าขณะนั้นว่าเป็นเพียงลักษณะ สภาพธรรมไม่ใช่เรา สภาพธรรมทั้งหลายไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครได้ แล้วแต่เหตุปัจจัยที่สะสมมา ค่อยๆ อบรมความเข้าใจถูกเห็นถูกในลักษณะสภาพธรรมที่กำลังปรากฎขณะนี้ ความเข้าใจถูกในลักษณะสภาพธรรมเป็นปัจจัยให้สติเกิด

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
เมตตา
วันที่ 8 ก.พ. 2552

เชิญคลิกอ่านเพิ่มเติมได้ที่..........

สังเวชนียสถานเป็นที่ควรเห็น [ทสฺสนียานิ]

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
oom
วันที่ 10 ก.พ. 2552
เมื่อปีที่แล้ว ประมาณ ปลายเดือนมกราคม 2551 มีโอกาสได้ไป กราบนมัสการสังเวชนีย สถานทั้ง 4 แห่ง เหมือน กัน ดิฉันก็เป็นเช่นกับคน อื่นๆ ที่เมื่อได้ฟังบทสวด สรรเสริญพระพุทธคุณ ก็ น้ำตาไหล ซาบซึ้งถึงพระ มหากรุณาธิคุณอันใหญ่ หลวง ที่มีเมตตาต่อสัตว์ โลกทั้งหลาย และเศร้า เสียใจที่เกิดไม่ทันในยุค นั้น จึงไม่มีโอกาสได้ฟัง ธรรมจากพระองค์โดย ตรง พยายามกลั้นน้ำตา แต่ไม่รู้ว่าน้ำตามาจาก ไหนกลั้นไม่อยู่ ก็คงเป็น สภาพธรรมที่ไม่สามารถ บังคับบัญชาได้ พอได้ อ่านข้อความจากหัวข้อนี้ ก็น้ำตาไหลอีก ถ้ามีเหตุ ปัจจัย คงจะได้กลับไป กราบนมัสการอีกครั้ง
 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ