คำถาม...ที่รู้ได้เฉพาะตน

 
พุทธรักษา
วันที่  17 ม.ค. 2552
หมายเลข  10931
อ่าน  1,346

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

แนวทางเจริญวิปัสสนาโดย อาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์

นั่ง นอน ยืน เดิน เป็น "บัญญัติ" โดยสภาพปรมัตถธรรม ก็ต้องเป็นรูป ใน ๒๘ รูป เพื่อให้ รู้อาการของรูป ว่ารูปต่างๆ ทรงอยู่ในอิริยาบถต่างๆ ได้อย่างไร

การเจริญสติปัฏฐาน ไม่ใช่รู้ สิ่งที่ไม่ปรากฏขณะที่กำลังนั่ง อะไรกำลังปรากฏ

การเจริญสติปัฏฐาน ต้องรู้ลักษณะ ของสภาพธรรม ที่กำลังปรากฏ ในขณะนี้ ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และ ใจ อย่าพยายามไปรู้ สิ่งที่ไม่ลักษณะปรากฏให้รู้ได้ ในขณะนี้อย่าจงใจ จดจ้อง ให้รู้ สิ่งที่ไม่มีลักษณะปรากฏให้รู้ได้ ในขณะนี้ อย่าข้ามสิ่งที่มีลักษณะปรากฏให้รู้ได้ ในขณะนี้ อย่าไปหาสิ่งอื่น ที่ไม่มีลักษณะปรากฏให้รู้ได้ ในขณะนี้ การพิจารณา เป็นเหตุให้เกิดปัญญา

ขณะที่กำลังนั่ง จะพิจารณา หรือว่า จะรู้อะไร

จะรู้สิ่งที่ปรากฏ หรือ สิ่งที่ไม่ปรากฏ ท่านจะเจริญสติปัฏฐาน เพื่อละความไม่รู้ หรือยังต้องการเก็บความไม่รู้นั้นไว้มากๆ

ผู้เจริญสติปัฏฐาน ต้องรู้ลักษณะของสติ จึงจะเจริญสติได้

สำหรับผู้ที่รู้แจ้ง ลักษณะของนามและรูปแล้วจะทราบว่า ชีวิตประจำวัน คือ นามและรูป นั่นเองนามรูป ทั้งหลาย เป็นอนัตตา ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เช่น กำลังเห็นในขณะนี้ เป็นสภาพธรรมที่มีจริงถ้าไม่ระลึกรู้ ลักษณะของนามและรูป ตามความเป็นจริงก็เป็น "เรา" ที่กำลังเห็น อย่างนี้ เป็นความเห็นผิด หรือ เห็นถูก

บางท่าน อาจจะคิดว่า มีประโยชน์อะไร ที่จะระลึกรู้ ลักษณะที่เย็น ร้อน อ่อน แข็ง ฯลฯ แต่ขอให้ทราบว่า ที่ท่านยึดถือว่าเป็น "ตัวตน" นั้นอ่อน และ แข็ง มีจริงไหม

ถ้าไม่รู้ ขณะใด สติปัฏฐาน ไม่เกิดขณะใดขณะนั้น สภาพอ่อนนั่นแหละ "เป็นตัวท่าน" สภาพแข็งนั้นแหละ "เป็นตัวท่าน" ฯลฯ ซึ่ง เป็นความเห็นผิด หรือ เห็นถูก นี่เป็นสิ่งที่จะต้องพิจารณาให้รู้ว่า เพราะเหตุใด จึงต้องรู้ สภาพธรรมที่ปรากฏ ตามปกติ ในชีวิตประจำวันซึ่งเป็นหนทางเดียว ที่จะประจักษ์สภาพธรรมที่ปรากฏ ในชีวิตประจำวัน ตามความเป็นจริงแล้วการที่จะรู้ว่า สภาพนั้นๆ ก็เป็นเพียง "ลักษณะหนึ่งๆ "

ที่มีเหตุปัจจัย ให้เกิดขึ้น และดับไป จะรู้ได้อย่างไร

อ่อน และ แข็ง ไม่ใช่สภาพรู้ แต่ถ้าไม่พิจารณาเนืองๆ บ่อยๆ จะรู้ได้อย่างไรว่า อ่อน หรือ แข็ง นั้น ไม่ใช่ตัวตน จะรู้ได้อย่างไรว่า อ่อน หรือ แข็ง นั้น เกิดแล้วดับ

หากไม่ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรม ที่กำลังปรากฏในขณะนี้และมีความต้องการจะไปรู้สิ่งที่อื่น ที่ไม่มีลักษณะปรากฏให้รู้ได้เมื่อไม่รู้ลักษณะ ของสภาพธรรม ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และ ใจซึ่งเป็นลักษณะของสภาพธรรม ที่ปรากฏ ตามปกติ ในชีวิตปกติประจำวัน

การที่จะไปรู้สิ่งที่ไม่ปรากฏ จะเป็นการอบรมเจริญสติปัฏฐาน อย่างไร จิตที่มีโลภะ ก็มี จิตที่มีโทสะ ก็มี จิตที่มีโมหะ ก็มี ถ้าไม่ระลึกรู้ จิต ที่มีโลภะบ้าง โทสะบ้าง โมหะบ้างแล้วปัญญา จะรู้อะไร จิต เกิดดับอยู่ตลอดเวลา ความรู้สึก เป็นสุข เป็นทุกข์ เฉยๆ ก็เกิดดับอยู่ตลอดเวลาเมื่อมีเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส กระทบสัมผัส และ คิดนึกทางใจแต่เมื่อไม่เคยรู้ สิ่งที่กำลังปรากฏเลย คือ ไม่รู้ ลักษณะของสภาพธรรมต่างๆ ที่กำลังปรากฏแล้วสติ และ ปัญญา จะรู้อะไร

หากว่าไม่รู้ สภาพธรรมที่ปรากฏ ตามปกติทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ตามปกติ จะชื่อว่าเป็นการเจริญสติปัฏฐาน ได้ไหม แล้วปัญญา ละคลายอะไรได้บ้าง

ถ้าเจริญ โดยไม่รู้สิ่งที่กำลังปรากฏ ตามปกติ ในชีวิตประจำวันแต่มีความพอใจ มีความต้องการที่จะไปรู้ ไปดู สิ่งที่ไม่ปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ตามปกติ ตามความเป็นจริงแล้วจะเป็นปัญญา ได้หรือไม่ ถ้าท่านระลึกรู้สิ่งที่กำลังปรากฏ จะตรงกับสติปัฏฐานไหม

ในมหาสติปัฏฐานสูตร มีกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐานจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ไม่เว้น สภาพธรรมใดๆ เลย ระลึกรู้ สภาพธรรม ที่ปรากฏที่กาย ตามปกติระลึกรู้ ความรู้สึกใดๆ ทั้งสุข ทุกข์ และ ไม่สุข ไม่ทุกข์ระลึกรู้ ลักษณะ ของจิต ประเภทต่างๆ ระลึกรู้ สภาพธรรม ที่มีลักษณะปรากฏจริงๆ ขณะใดขณะนั้น คือ มหาสติปัฏฐาน

ขออนุโมทนา

ขออุทิศกุศลแด่สรรพสัตว์


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
narong.p
วันที่ 18 ม.ค. 2552

ขออนุโมทนาครับ

ขอบคุณที่กรุณาคัดลอกการทอดเทปบางตอนมาตั้งกระทู้ เป็นประโยชน์มากในการเจริญปัญญา ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
suwit02
วันที่ 18 ม.ค. 2552

สาธุ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่ 18 ม.ค. 2552

ขอขอบพระคุณมากครับ เป็นขัอความที่ดีมากๆ เลยครับ

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
ไตรสรณคมน์
วันที่ 18 ม.ค. 2552

ขออนุโมทนาค่ะ

รู้ได้เฉพาะตน เพราะปรากฎแก่ตนเท่านั้น

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
opanayigo
วันที่ 18 ม.ค. 2552

อนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
เมตตา
วันที่ 18 ม.ค. 2552

นั่ง นอน ยืน เดิน เป็น "บัญญัติ" จึงไม่มีสภาวะ ไม่มีลักษณะของสภาพธรรมที่มีจริง จึงควรที่จะฟังพระธรรมเพื่อให้รู้ให้เข้าใจในลักษณะสภาพธรรมที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฎขณะนี้ซึ่งเป็นสภาพธรรมที่มีจริงๆ รู้หรือยัง สภาพธรรมที่มีจริงๆ ขณะนี้สามารถที่จะอบรมให้เข้าใจได้ เมื่อมีความเข้าใจที่มั่นคงจะเป็นปัจจัยให้สังขารขันธ์ปรุงแต่งให้สติระลึกรู้ลักษณะสภาพธรรมที่กำลังปรากฎตรงตามความเป็นจริงค่ะ

ขออนุโมทนาในกุศลจิตคุณพุทธรักษา และทุกๆ ท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
คุณ
วันที่ 19 ม.ค. 2552
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
dron
วันที่ 20 ม.ค. 2552

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
pornpaon
วันที่ 22 ม.ค. 2552
ขออนุโมทนาค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
hadezz
วันที่ 10 ก.พ. 2552

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
bsomsuda
วันที่ 27 ธ.ค. 2552

- ผู้เจริญสติปัฏฐาน ต้องรู้ลักษณะของสติ จึงจะเจริญสติได้.

- ท่านจะเจริญสติปัฏฐาน เพื่อละความไม่รู้

- จิตที่มีโลภะ ก็มี จิตที่มีโทสะ ก็มี จิตที่มีโมหะ ก็มี ถ้าไม่ระลึกรู้ จิต ที่มีโลภะบ้าง โทสะบ้าง โมหะบ้างแล้วปัญญา จะรู้อะไร

- ระลึกรู้ สภาพธรรม ที่ปรากฏที่กาย ตามปกติระลึกรู้ ความรู้สึกใดๆ ทั้งสุข ทุกข์ และ ไม่สุข ไม่ทุกข์ระลึกรู้ ลักษณะ ของจิต ประเภทต่างๆ ระลึกรู้ สภาพธรรม ที่มีลักษณะปรากฏจริงๆ ขณะใดขณะนั้น คือ มหาสติปัฏฐาน.

เข้าใจธรรมะ รู้ลักษณะของสติ มีความเพียรระลึก เจริญปัญญาให้รู้สภาพธรรมทั้งหลายตามความเป็นจริง เพื่อละความเห็นผิด

ขอขอบคุณและขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
pamali
วันที่ 22 มิ.ย. 2553

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
chatchai.k
วันที่ 7 ม.ค. 2564

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ