ระลึก...ตรง...ลักษณะ

 
พุทธรักษา
วันที่  6 ม.ค. 2552
หมายเลข  10852
อ่าน  1,054

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

สนทนาธรรมกับท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ถอดเทปโดย คุณย่าสงวน สุจริตกุล

มีท่านผู้ฟังท่านหนึ่งค่ะ ท่านบอกว่า ท่านยังไม่สนใจ เรื่องวิปัสสนาเพราะว่า ท่านคิดว่า ถ้าท่านสนใจเมื่อไรละก็ ท่านจะบรรลุมรรคผล เป็นพระอริยเจ้าแน่นอน เพราะว่าท่านเจริญสมาธิ แล้วท่านก็กล่าวว่าท่านเจริญสมาธิแท้ๆ แต่ผลออกมากลับเป็น วิปัสสนา เพราะว่าท่านได้ประจักษ์ลักษณะ การเกิดดับของนามธรรม และ รูปธรรมแล้ว

นี่เป็นสิ่งที่ไม่ตรง ตามเหตุผล เพราะว่า ท่านที่กล่าวอย่างนั้นไม่ได้รู้จัก ลักษณะ ของนามธรรม และ รูปธรรม ทางตา ในขณะที่กำลังเห็น ทางหู ในขณะที่กำลังได้ยิน ทางจมูก ในขณะที่กำลังได้กลิ่น ทางลิ้น ในขณะที่กำลังลิ้มรส ทางกาย ในขณะที่กำลังกระทบสัมผัส และ ทางใจ ในขณะที่กำลังเป็นสุข เป็นทุกข์และในขณะที่กำลังคิดนึกอะไรต่างๆ

ท่านผู้นั้น ไม่ได้ศึกษา สังเกต สำเหนียก และไม่ได้ เป็นปัญญาขั้นแรกที่สามารถรู้ ความแตกต่างของ นามธรรม และ รูปธรรม ซึ่งกำลังปรากฏในขณะนี้แล้วท่านจะไปประจักษ์ การเกิดขึ้นและดับไป ของสภาพธรรมอะไร

ในขณะที่ท่านคิดว่า ท่านประจักษ์ การเกิดดับ ของสภาพธรรมในขณะนั้นไม่ใช่ ความรู้ เพราะว่า ไม่ใช่การ รู้ ตรง ลักษณะ ของสภาพธรรม คือ นามธรรม และ รูปธรรม แต่ละลักษณะ ว่าต่างกันอย่างไร (ไม่ใช่ความรู้) พอที่จะบอกได้ว่า ขณะนั้น เป็นสภาพธรรมอะไร (นาม หรือ รูป) และความรู้นั้น เกิดจากการเจริญอบรมอย่างไร

เหตุกับผล ต้องตรงกันถ้าเจริญสมถภาวนา ผล ก็คือ ความสงบของจิตไม่ใช่การศึกษา สังเกต สำเหนียก เพื่อระลึก ตรง ลักษณะ ของสภาพธรรม ที่กำลังปรากฏ ตามปกติ ตามความเป็นจริง ผู้ที่อบรมเจริญปัญญาจริงๆ จะไม่ไขว้เขว เรื่องเหตุ และ ผลรู้ได้เลยว่า เหตุต้องตรงกับผล ผลต้องตรงกับเหตุ ที่เป็นผลอย่างแท้จริง ก็ต้องมาจากเหตุ คือการศึกษาตามลำดับขั้นแต่ถ้าไม่ศึกษาตามลำดับขั้น แล้วเข้าใจว่าเป็นผล ก็เป็นความผิดพลาดและเป็นเหตุให้ไม่อบรมเจริญปัญญา ให้ถูกต้องด้วย

สำหรับการที่จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรม ๔ ซึ่งเป็นเรื่องที่ลึกซึ้งละเอียดมาก สุขุม และยากมากนะคะ.ซึ่งท่านผู้ฟังจะเห็นได้ว่า ต้องอบรมเจริญปัญญาเป็นลำดับขั้นจริงๆ ทั้งทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และ ใจต้อง ระลึก ตรง ลักษณะ ของสภาพธรรมเสียก่อนเพราะว่า การรู้แจ้งอริยสัจจธรรมนั้น หมายความถึง ปัญญา ซึ่งสามารถรู้แจ้งแทงตลอด ในลักษณะ ของสภาพธรรม ตามปกติ ตามความเป็นจริง และก่อนที่ วิปัสสนาญาณ จะเกิด ก็ต้องมี การระลึกรู้ ตรง ลักษณะของสภาพธรรม แต่ละ ลักษณะ ซึ่งเกิดดับ สืบต่อสลับกัน อย่างรวดเร็วให้ตรง ต่อลักษณะของสภาพธรรม แต่ละ ลักษณะ ตามความเป็นจริง เสียก่อน.

เพียงเท่านี้ จะยากไหมคะ.?ทางตา ที่กำลังเห็น ระลึกให้ตรง คือ เมื่อเป็นสภาพรู้ ที่กำลังเห็นก็รู้ว่าเป็นแต่เพียง ธาตุรู้ เป็นอาการรู้ ที่กำลังเห็น สิ่งที่ปรากฏนี่คือการ ระลึก ตรง ลักษณะของการเห็นและสิ่งที่ปรากฏทางตาก็ ระลึก ตรง ลักษณะ ในขณะที่ไม่ปรากฏ ว่าเป็นสัตว์ บุคคล ตัวตน แต่เป็นเพียงสภาพธรรม ที่กำลังปรากฏทางตา เท่านั้น สติเกิดขึ้น ระลึก ตรง ลักษณะ ของสภาพธรรมที่ปรากฏทางตา บ้างหรือยัง (มีปัญญา) พอที่จะแยก และรู้ได้ ว่า ขณะที่รู้ว่า เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดนั้นต้องมีการตรึก นึกถึง รูปร่าง สัณฐาน ทุกครั้งถ้าไม่มี การตรึก นึกถึง รูปร่าง สัณฐาน ก็จะไม่มีการรู้ได้ว่าสิ่งที่ปรากฏทางตานั้นเป็นอะไร นี่คือการ ระลึก ตรง ลักษณะ ของสภาพธรรม ที่กำลังปรากฏ ตามปกติ ตามความเป็นจริง


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
พุทธรักษา
วันที่ 7 ม.ค. 2552

ทางหู มีการอบรมเจริญสติปัฏฐาน คือ ระลึก ตรง ลักษณะ ของสภาพธรรม ตามปกติ ตามความเป็นจริง บ้างหรือไม่ ถ้า ระลึก ตรง ลักษณะ ของสภาพธรรม ตามปกติ ตามความเป็นจริงหมายความว่า ขณะที่กำลังได้ยินก็ ระลึก ตรง ลักษณะ ของธาตุรู้ (ธาตุที่กำลังได้ยิน) และระลึก ตรง ลักษณะ ของเสียง ที่กำลังปรากฏโดยไม่ใช่ ขณะที่ เข้าใจความหมาย และ ระลึก ตรง ลักษณะ ของนามธรรม ที่เข้าใจความหมาย (ทางใจ)
จะสังเกตได้จริงๆ

ขณะที่เข้าใจความหมายต้องเป็น ลักษณะ ของสภาพธรรมที่ตรึก นึกถึง ความหมายเปรียบเทียบได้กับทางใจ ในขณะที่เสียงไม่ปรากฏเลย ก็ยังนึกถึงคำอะไรก็ได้ รู้ความหมายของคำที่ตรึก นึกถึง โดยขณะนั้น เสียงก็ไม่ปรากฏ ถ้าสติไม่ ระลึก ตรง ลักษณะของสภาพธนามธรรม ในขณะที่กำลังคิดนึกก็จะไม่รู้ว่า เป็นการตรึก เป็นการนึกถึงคำ เรื่องราว ความหมาย ยากเหลือเกินที่จะเป็น วิปัสสนาญาณ ที่รู้แจ้งแทงตลอด ในลักษณะ ที่ไม่ใช่ตัวตนประจักษ์ การขาดตอน ของสภาพธรรมแต่ละลักษณะ ทางมโนทวาร

ความยาก อยู่ที่ว่า "ระลึก ตรง ลักษณะ ของสภาพธรรม แต่ละลักษณะ"จริงๆ แล้ว หรือยัง ถ้าเริ่ม ระลึก ตรง ลักษณะ ของสภาพธรรมจริงๆ ปัญญา ก็จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
.
ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
สุภาพร
วันที่ 7 ม.ค. 2552
ขออนุโมทนาค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
suwit02
วันที่ 7 ม.ค. 2552

สาธุ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
choonj
วันที่ 8 ม.ค. 2552

มีการสอนกันอย่างกว้างขวางในหมู่ของผู้ศึกษาปฎิบัติธรรม ให้เจริญหรือนั่งสมาธิเพื่อความสงบ และเมื่อสงบแล้วจะมีธรรมะพูดขึ้นก็จะรู้ได้ทุกอย่างเป็นวิปัสสนา ซึ่งก็เหมื่อนกับท่านผู้ฟังท่านนี้ จะเห็นได้ไม่ยากเลยเพราะมีจำนวนมากมาย การที่ไม่เข้าใจการระลึกตรงลักษณะของสภาพธรรมแต่ละลักษณะ จึงเป็นที่น่าเสียดายในการเจริญในธรรม ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
Sam
วันที่ 8 ม.ค. 2552

ฟัง เรือง ลักษณะของสภาพธรรมเป็นปัจจัยให้ระลึก ตรง ลักษณะของสภาพธรรม และศึกษา ตรง ลักษณะของสภาพธรรม นำไปสู่การประจักษ์แจ้ง ใน ลักษณะของสภาพธรรม ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ต้องตรงกัน

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
เมตตา
วันที่ 8 ม.ค. 2552

ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม และศึกษาพิจารณาให้เข้าใจจริงๆ ในสิ่งที่กำลังปรากฎขณะนี้ ทั่วทั้ง ๖ ทวาร ว่าอะไรเป็นนามธรรม อะไรเป็นรูปธรรม เพื่อเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้สติเกิดระลึกลักษณะของนามธรรม และรูปธรรมตรงตามความเป็นจริงบ่อยๆ เนืองๆ ก็ไม่เป็นเหตุให้เจริญวิปัสสนาได้ เหตุต้องตรงกับผล เมื่อเหตุ คือ ไม่ได้อบรมเจริญสติปัฎฐาน ผลก็คือวิปัสสนาย่อมเกิดไม่ได้

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
Komsan
วันที่ 9 ม.ค. 2552
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
คุณ
วันที่ 10 ม.ค. 2552
ขออนุโมทนาค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
h_peijen
วันที่ 10 ม.ค. 2552
กราบอนุโมทนาค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
pornpaon
วันที่ 11 ม.ค. 2552
ขออนุโมทนาค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่ 12 ม.ค. 2552
ขออนุโมทนาครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
chatchai.k
วันที่ 19 ก.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ