บุญคือกุศลจิต

 
สารธรรม
วันที่  11 ธ.ค. 2551
หมายเลข  10642
อ่าน  3,493

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

ข้อความบางตอนจาก แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ ๑๐๘๕

บรรยายโดย ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์

บุญคือกุศลจิต

ถ. อยากจะปรึกษาถามอาจารย์ว่า คนที่เขาไม่รู้อย่างที่อาจารย์เทศน์นี้ คนบ้านนอกน่ะ เขาว่าบวชพระจะได้กุศล ดีไหม

สุ. ใครได้ล่ะคะ

ถ. ก็คนที่บวชและพ่อแม่ด้วย จะได้กุศลไหม?

ส. กุศลจิตไม่ได้ยั่งยืนยาวนาน เกิดขึ้นแล้วก็ดับไปอย่างรวดเร็ว เพราะฉะนั้น เวลาที่กุศลจิตดับแล้วอกุศลจิตก็เกิดต่อ เพราะฉะนั้น การที่จะบอกว่า ได้บุญไหม? ขณะใดที่เป็นกุศลจิต เป็นบุญ เป็นกุศล แต่กุศลจิตก็ดับไปแล้ว และอกุศลจิตก็เกิดได้ จะให้มีกุศลตลอดไปไม่ได้ค่ะ

ถ. สร้างพระพุทธรูป เขาก็ว่าไม่ได้อะไร ก็เลยไม่สร้าง ก็เลยอยากปรึกษาอาจารย์ ในพระไตรปิฎกเขาว่าอย่างไร

ส. บางท่านก็ถามว่า ทำอย่างนั้น ทำอย่างนี้จะเป็นบุญไหม ถ้าเป็นบุญก็จะทำ คล้ายๆ กับว่า อยากจะได้บุญ โดยที่ไม่เข้าใจว่า "บุญคือกุศลจิต" ขณะใดปราศจากโลภะ โทสะ โมหะ ขณะนั้นคือบุญ เพราะฉะนั้น ไม่ต้องคิดว่า ได้ไหม เป็นบุญไหม จะได้บุญไหม

ถ. ไม่รู้จะถามอาจารย์อย่างไร คนเขากลัวว่า จะสร้างไปทำไมกัน ที่ (สร้าง) นี้ไม่ค่อยปีติกันหรอก ไม่ได้กุศล แล้วจะสร้างทำไมกันล่ะ

สุ. เพราะฉะนั้น จึงจำเป็นต้องเรียนเรื่อง "กุศลจิตและอกุศลจิตอย่างละเอียด" ถ้าต้องการบุญจริงๆ ก็จะต้องรู้ว่ากุศลจิตต่างกับอกุศลจิต และขณะใดเป็นกุศล ขณะใดเป็นอกุศล การศึกษาธรรม ก็เพื่อให้รู้ตามความเป็นจริงว่า กุศลเป็นกุศล และอกุศลเป็นอกุศล บุญ คือ กุศลจิตเกิดขณะใดเป็นบุญขณะนั้น

ถ. ใส่บาตรแก่พระสงฆ์ เขาว่าไม่ต้องใส่ก็ได้ จะทำอย่างไร พระอดตาย

สุ. นี่เป็นตัวอย่างที่กว้างไกล เพราะมีกุศลจิตเกิดบ้าง อกุศลจิตเกิดบ้าง สลับกันเกิดดับไปอย่างรวดเร็ว แต่ที่จะให้รู้ชัดก็คือว่า รู้จิตของตนเองว่า ขณะใดเป็นกุศล ขณะใดเป็นอกุศล แล้วจะตอบปัญหาได้ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการใส่บาตร หรือเรื่องของการสร้างวัด สร้างโรงพยาบาล สร้างโรงเรียนหรืออะไรๆ ก็ตามแต่ ถ้ารู้ลักษณะของจิต ก็จะตอบคำถามได้ทั้งหมด แต่ถ้าไม่รู้ลักษณะของจิต จะตอบได้อย่างไรล่ะคะ ไม่ทราบว่า จิตของท่านที่ถาม หวังอะไร หรือต้องการอะไรหรือเปล่า เพราะโลภะนี้ไม่ห่างไกลเลย และหนียาก ยากที่จะพ้นได้ แม้แต่กุศลทั้งหลาย ไม่ว่ากุศลที่เป็นทาน หรือศีล หรือสมถภาวนาก็ตาม แต่ก็ยังเป็นปัจจัยให้เกิดโลภะได้

พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสไว้ว่า

คนโลภย่อมไม่รู้อรรถ คนโลภย่อมไม่เห็นธรรม เมื่อนรชนถูกความโลภครอบงำ ย่อมมืดตื้อทันที ความโลภก่อให้เกิดความพินาศ ความโลภทำให้จิตอยากได้ ชนไม่รู้จักความโลภนั้นซึ่งเป็นภัยเกิดในภายใน ดังนี้.

(ข้อความบางตอนจาก)

อรรถกถาพรหมชาลสูตร

[เล่มที่ 11] พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 163

ขออุทิศส่วนกุศลแด่สรรพสัตว์


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
พุทธรักษา
วันที่ 11 ธ.ค. 2551

ขออนุโมทนาค่ะ.

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
suwit02
วันที่ 11 ธ.ค. 2551

สาธุ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
khondeebkk
วันที่ 14 ธ.ค. 2551

สาธุ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
Noparat
วันที่ 15 ธ.ค. 2551

เพราะฉะนั้น จึงจำเป็นต้องเรียนเรื่อง "กุศลจิตและอกุศลจิตอย่างละเอียด" ถ้าต้องการบุญจริงๆ ก็จะต้องรู้ว่ากุศลจิตต่างกับอกุศลจิต และขณะใดเป็นกุศล ขณะใดเป็นอกุศล การศึกษาธรรม ก็เพื่อให้รู้ตามความเป็นจริงว่า กุศลเป็นกุศล และอกุศลเป็นอกุศล บุญคือกุศลจิต เกิดขณะใดเป็นบุญขณะนั้น

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
opanayigo
วันที่ 23 ธ.ค. 2551

เพราะโลภะนี้ไม่ห่างไกลเลย และหนียาก ยากที่จะพ้นได้ แม้แต่กุศลทั้งหลาย ไม่ว่ากุศลที่เป็นทาน หรือศีล หรือสมถภาวนาก็ตาม แต่ก็ยังเป็นปัจจัยให้เกิดโลภะได้

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
pornpaon
วันที่ 24 ธ.ค. 2551
ขออนุโมทนาค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
คุณ
วันที่ 18 มิ.ย. 2552

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
lovedhamma
วันที่ 24 ส.ค. 2557

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
ใหญ่ราชบุรี
วันที่ 11 มิ.ย. 2558
สาธุ อนุโมทนา และขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่งค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
chatchai.k
วันที่ 3 พ.ค. 2563

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
Jarunee.A
วันที่ 16 พ.ย. 2566

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ