ได้ยินแล้วคิด_13

 
Khaeota
วันที่  2 พ.ย. 2551
หมายเลข  10273
อ่าน  1,241

ขอนอบน้อมแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ได้ยินท่าน อ. สุจินต์ แสดงอยู่บ่อยๆ "สังขาร สังขารนิมิต นิมิต นิมิตอนุพยัญชนะ" ได้ยินแล้วคิด อย่างไร...

ขออนุโมทนาในกุศลจิตทุกๆ ท่านค่ะ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
kulwilai
วันที่ 4 พ.ย. 2551

ข้อความบางส่วนจากพระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค

อาทิตตปริยายสูตรที่ ๘

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลแทงจักขุนทรีย์ด้วยหลาวเหล็กอันร้อนไฟติดลุกโพลงแล้ว ยังดีกว่าการถือนิมิตโดยอนุพยัญชนะในรูป อันจักขุวิญญาณพึงรู้แจ้ง จะดีอะไร วิญญาณอันตะกรามด้วยความยินดีในนิมิต หรือตะกรามด้วยความยินดีในอนุพยัญชนะ เมื่อตั้งอยู่ก็พึงตั้งอยู่ได้ ถ้าบุคคลพึงทำกาลกิริยาเสียในสมัยนั้นไซร้ ข้อที่บุคคลจะพึงเข้าถึงคติ ๒ อย่าง คือ นรกหรือกำเนิดสัตว์เดียรฉานอย่างใดอย่างหนึ่งก็เป็นฐานะที่จะมีได้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลายเราเห็นโทษอันนี้ จึงกล่าวอย่างนี้.

อรรถกถา อาทิตตปริยายสูตรที่ ๘

การถือเอาโดยนิมิต ก็เช่นเดียวกับร่างจระเข้ ย่อมถือเอาทั้งหมดทีเดียว การถือเอาโดยอนุพยัญชนะแยกถือเอาส่วนนั้นๆ บรรดาส่วนทั้งหลายมีมือและเท้า เป็นต้น

บทว่า นิมิตฺตสฺสาเทคธิต ได้แก่ เจริญ คือติดพันด้วยความยินดีในนิมิต

บทว่า วิญฺาณ ได้แก่ กรรมวิญญาณ.

บทว่า ตสฺมึเจ สมเย กาล กเรยฺย ความว่า ใครๆ ที่ชื่อว่า กำลังกระทำกาละด้วยจิตอันเศร้าหมอง มีอยู่หามิได้. ด้วยว่าสัตว์ทั้งปวงย่อมทำกาละด้วยภวังคจิตเท่านั้น. แต่พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อทรงแสดงภัยแห่งกิเลส จึงตรัสอย่างนั้น


สังขารธรรม ได้แก่ จิต เจตสิกและรูป เป็นธรรมที่เกิดเพราะปัจจัยปรุงแต่ง เกิดแล้วดับ การเกิดดับสืบต่ออย่างรวดเร็วของสังขารธรรมเป็นสังขารนิมิต เมื่อไม่รู้ธรรมตามความเป็นจริง จึงเห็นเป็นคน สัตว์ สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยงและยั่งยืน แท้จริงแล้วสิ่งที่ปรากฎทางตาเป็นเพียงรูปนิมิต เพราะอวิชชาปิดกั้น ตัณหาร้อยรัดจึงไม่รู้ความจริงของธรรมที่มีในขณะนี้ ติดข้องไม่เพียงแต่นิมิต สังขารขันธ์ยังปรุงแต่งให้ติดข้องในอนุพยัญชนะของสิ่งที่ปรากฎทางตา ด้วยความยึดถือว่านั่นของเรา เราเป็นนั่น นั่นเป็นตัวตนของเรา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
JANYAPINPARD
วันที่ 4 พ.ย. 2551

คลิกเข้าอ่านใน ...

ขอความเข้าใจสังขารนิมิตด้วยค่ะ

แสดงว่าสติปัฏฐานขั้นต้นก่อนโคตรภูยังไม่สามารถออกจากสังขารนิมิตรภายนอกได้สังขารนิมิตรภายนอก หมายถึงอะไร

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
khampan.a
วันที่ 4 พ.ย. 2551

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

สภาพธรรมเป็นสิ่งที่มีจริง เป็นจริง เกิดขึ้นเป็นไปในชีวิตประจำวัน ทั้งทางตาทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ เมื่อกล่าวถึงสิ่งที่มีจริงแล้ว มี ๒ ประเภทคือ สังขารธรรมกับวิสังขารธรรม สังขารธรรม เป็นสภาพธรรมที่มีปัจจัยปรุงแต่งจึงเกิดขึ้นแล้วดับไป ได้แก่ จิต เจตสิกและรูป ทั้งหมด ส่วนวิสังขารธรรม หมายถึงพระนิพพาน, สภาพธรรมที่เป็นสังขารธรรม เกิดดับสืบต่อกันอย่างรวดเร็ว เป็นสังขาร-นิมิต (เครื่องหมายของสภาพธรรมที่เกิดดับ) เพราะตัวจริงๆ ของสภาพธรรมนั้นดับไปแล้ว ซึ่งเป็นเหตุให้ผู้ที่ไม่ได้อบรมเจริญปัญญาไม่เข้าใจตามความเป็นจริง ย่อมเห็นผิด ยึดถือว่าเป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นตัวตน เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ไม่ดับไป แต่ในความเป็นจริงแล้ว เป็นเพียงสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว หมดไป ไม่มีอะไรเหลือ ส่วนพระนิพพานไม่มีนิมิต เพราะเป็นสภาพธรรมที่ไม่เกิดดับ

ส่วนคำว่า นิมิตและอนุพยัญชนะ

ขอเชิญคลิกอ่านความหมายเพิ่มเติมได้ที่หัวข้อ ...

นิมิต อนุพยัญชนะ อนุพยัญชนะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
khampan.a
วันที่ 4 พ.ย. 2551

ข้อความบางตอน จากคำบรรยายของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์

"ขณะใดที่เห็นแล้ว สนใจ เพลินในนิมิต คือรูปร่างสัณฐาน และอนุพยัญชนะ คือส่วนละเอียดของสิ่งที่ปรากฏ ให้ทราบว่าขณะนั้น เพราะสีปรากฏ จึงทำให้คิดนึกเป็นรูปร่างสัณฐานและส่วนละเอียดของสิ่งต่างๆ ขึ้น เมื่อใดที่สติเกิดระลึกรู้และปัญญาเริ่มศึกษาพิจารณาก็จะเริ่มรู้ว่านิมิตและอนุพยัญชนะทั้งหลาย ซึ่งเป็นสีต่างๆ ก็เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏทางตาเท่านั้น นี่คือปัญญาที่เริ่มเข้าถึงลักษณะของสภาพธรรมที่ไม่ใช่ตัวตน สัตว์ บุคคล เมื่อสติเกิดระลึกรู้เนืองๆ บ่อยๆ ก็จะเข้าใจอรรถที่พระผู้มี-พระภาคตรัสว่า ไม่ติดในนิมิตอนุพยัญชนะ (ด้วยการอบรมเจริญปัญญา รู้สภาพธรรมที่ปรากฏตามความเป็นจริง) และเริ่มละคลายอัตตสัญญา ในสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ตามขั้นของปัญญาที่เจริญขึ้น"

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
suwit02
วันที่ 4 พ.ย. 2551

สาธุ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
paderm
วันที่ 4 พ.ย. 2551

ได้ความเข้าใจมากขึ้นครับ ที่นำข้อความท่านอาจารย์สุจินต์มาให้อ่านรวมทั้งวิทยากร แต่ละท่านที่ช่วยอธิบายให้เข้าใจและลิ้งที่มีประโยชน์ ขออนุโมทนาเป็นอย่างยิ่งครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
เมตตา
วันที่ 4 พ.ย. 2551

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านค่ะ ได้ความเข้าใจมากขึ้นจริงๆ ค่ะ แต่ มีข้อเรียนถามว่า ความว่า ใครๆ ที่ชื่อว่า กำลังกระทำกาละด้วยจิตอันเศร้าหมอง มี อยู่หามิได้. ด้วยว่าสัตว์ทั้งปวง ย่อมทำกาละด้วยภวังคจิตเท่านั้น. ขอเรียนถามว่า เพราะเหตุใดจึงทำกาละด้วยภวังคจิตเท่านั้น

ขอขอบพระคุณมากค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
kulwilai
วันที่ 5 พ.ย. 2551

โดยปรมัตถธรรมแล้ว ที่กล่าวว่าคนตายก็คือ จุติจิต เกิดขึ้นทำกิจเคลื่อนจากภพชาตินั้น สำหรับปฏิสนธิจิต ภวังคจิตและจุติจิต เป็นจิตประเภทเดียวกัน ในชาติหนึ่งๆ เป็นผลของกรรมเดียวกัน อย่างไรก็ตามข้อความที่ว่า ด้วยว่าสัตว์ทั้งปวงย่อมทำกาลด้วยภวังคจิตเท่านั้น ต้องรบกวนคุณคำปั้นสอบทานภาษาบาลี เพื่อจะได้นำเรียนถามท่านอาจารย์สุจินต์ในการประชุมวิชาการต่อไป

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
pornpaon
วันที่ 5 พ.ย. 2551

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
เมตตา
วันที่ 6 พ.ย. 2551
ขอขอบพระคุณ และ ขออนุโมทนาท่านอาจารย์ kulwilai อย่างสูงค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
orawan.c
วันที่ 6 พ.ย. 2551

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
wannee.s
วันที่ 6 พ.ย. 2551

ขณะที่สติปัฏฐานเกิดไม่มีเรื่องราว ไม่มีชื่อ ไม่มีนิมิตอนุพยัญชนะ มีแต่สภาพธรรมะค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
kulwilai
วันที่ 10 พ.ย. 2551

การอ่านพระสูตรควรประกอบความเข้าใจในพระอภิธรรมด้วย จากการสนทนากับท่านอาจารย์สุจินต์ สรุปได้ว่าให้พิจารณาที่กิจของจิต จุติจิตทำกิจเคลื่อนจากภพชาติ ส่วนภวังคจิตทำกิจดำรงภพชาติ และเมื่อพิจารณาการเกิดขึ้นของจุติจิตตามพระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ เล่ม ๒ ภาค ๑ ถ้ายังเป็นวิถีจิตอยู่ จุติจิตจะยังเกิดไม่ได้ ต่อเมื่อวิถีจิตใกล้ตาย (มรณาสันนวิถี) ดับไปก่อน ดังนั้นวิถีจิตใกล้ตายจึงแสดงไว้ ๔ ประเภท คือประเภทที่ ๑ ชวนจิต ๕ ขณะ ตทารัมมณจิต ๒ ขณะ แล้วจุติจิตจึงเกิด ประเภทที่ ๒ ชวนจิต ๕ ขณะ แล้วจุติจิตจึงเกิด ประเภทที่ ๓ ชวนจิต ๕ ขณะ ตทารัมมณจิต ๒ ขณะ ภวังคจิตแล้วจุติจิตจึงเกิด ประเภทที่ ๔ ชวนจิต ๕ ขณะ ภวังคจิตแล้วจุติจิตจึงเกิด

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
pamali
วันที่ 28 มิ.ย. 2553

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
chatchai.k
วันที่ 30 ก.ย. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ