สำเหนียก สังเกต พิจารณา

 
พุทธรักษา
วันที่  9 ต.ค. 2551
หมายเลข  10095
อ่าน  8,458

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น.

การบรรยายธรรม
โดย อาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ถอดเทปโดย คุณสงวน สุจริตกุล

ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเรื่องของการเจริญเหตุที่จะให้เกิดผลนี้ก็จะต้องอบรมเจริญเหตุคือ ความรู้พร้อมสติที่ระลึกรู้ในลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏไม่ใช่หวังอื่นนะคะ.? แต่ว่าเจริญความรู้ขึ้นและผู้ที่สติเกิด ปัญญาสำเหนียก สังเกต พิจารณาจนเป็นความรู้ ในลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ก็จะรู้ได้ด้วยตัวเองว่า ความรู้เกิดขึ้นมากหรือน้อยประจักษ์ชัดในลักษณะที่ไม่ใช่ตัวตน สัตว์ บุคคลหรือยัง ถ้ายังก็เป็นเรื่องของการที่ปัญญายังไม่ถึงขั้นที่จะประจักษ์สภาพที่แท้จริงของนามธรรมและรูปธรรม เพราะฉะนั้นไม่มีหนทางอื่น นอกจากเจริญเหตุต่อไปคือ ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏเท่านั้น

ท่านผู้ฟัง คำว่า "สำเหนียก" แปลว่าอะไร ผมยังไม่เข้าใจดีครับ

ท่านอาจารย์ หมายถึง สังเกต พิจารณา เพื่อจะให้รู้

ท่านผู้ฟัง ตกลง "สำเหนียก" กับ "สังเกต" เหมือนกันหรือครับ

ท่านอาจารย์ จะใช้คำอะไรก็ได้ ขอให้เป็นการศึกษาที่ภาษาบาลีใช้คำว่า "สิกขา" คือการศึกษาในลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ (จน) เกิดเป็นความรู้ ในลักษณะของสภาพธรรม ที่กำลังปรากฏ

ท่านผู้ฟัง คำว่า "รู้ชัด" ผู้เจริญสติเอง มีโอกาสจะรู้ไหมว่า เขาเริ่มจะรู้ชัดขึ้นมาแล้ว รู้ชัด เป็นยังไงครับ

ท่านอาจารย์ ผู้ที่อบรมเจริญสติปัฏฐาน ต้องพร้อม "สัมปชัญญะ" คือ รู้สึกตัว ไม่ใช่หลงลืมหรือเลอะเลือนที่จะไม่รู้ ก็คือเลอะเลือนหรือว่าหลงไปแต่ว่าผู้ที่อบรมเจริญสติปัฏฐานต้องพร้อมสัมปชัญญะตามปกติ เพราะฉะนั้น เวลาใดที่สติเกิดก็รู้ เวลาใดที่สติไม่เกิดก็รู้ ขณะที่มีสติต่างกับขณะที่หลงลืมสติ ถ้าไม่รู้ขณะที่ต่างกันของมีสติและหลงลืมสติจะเจริญสติปัฏฐานไม่ได้เลย
เพราะฉะนั้น เวลาที่สติเกิดแล้ว ก็จะทราบได้ว่าขณะนั้น มีการสังเกต สำเหนียก พิจารณาในลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ หรือเปล่า หรือว่ากำลังพยายามอยู่ที่จะรู้ในลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏ หรือว่าได้พยายามแล้วและความรู้ก็ค่อยๆ รู้ขึ้นแม้ไม่มาก แต่ก็ยังรู้ในลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏเพิ่มขึ้น และเมื่อใดที่มีการรู้ชัด ขณะนั้นไม่ใช่ตัวตน แต่เป็นปัญญาที่ได้อบรมแล้ว จึงเกิดขึ้นและรู้ชัดในลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนั้น เมื่อเป็นความรู้ชัดจะไม่รู้ตัวได้อย่างไรว่ารู้ชัด ถ้ายังไม่รู้ชัดก็ยังไม่รู้ชัด ต้องอบรมความรู้ชัดให้เกิดขึ้น จะเอาความไม่รู้ชัดไปเป็นความรู้ชัดไม่ได้ ทุกอย่างต้องตรงตามความเป็นจริง

บางท่าน ก็ถามว่า "รู้สึกว่า เรื่องของการอบรมเจริญสติปัฏฐานที่ได้รับฟังเป็นเรื่องที่ซ้ำ เมื่อไรจะต่อไปถึงเรื่องอื่นๆ อีก" ขั้นไหน ก็ไม่สำคัญ ถ้าระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏถูกต้อง ถูกต้อง คือรู้ลักษณะของรูปธรรม รู้ในสภาพธรรมที่เป็นรูปซึ่งไม่ใช่ตัวตน.รู้ลักษณะของสภาพรู้ซึ่งเป็นนามธรรมไม่ใช่ตัวตน เมื่อ "รู้ถูกต้อง" เช่นนี้ ความรู้ก็จะต้องเพิ่มขึ้น แต่ถ้าฟังแล้วสติไม่เกิด หรือว่าสติเกิดน้อยหรือว่าปัญญาก็ยังไม่รู้ในลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏจะมีประโยชน์อะไร ที่จะกล่าวถึงปัญญาขั้นสูงๆ ต่อไปซึ่งเป็นปัญญาของบุคคลอื่น เช่น ปัญญาของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ปัญญาของพระสาวก เช่น พระอรหันต์ พระอนาคามี พระสกทาคามี พระโสดาบันเพราะว่า นั่นเป็นการกล่าวถึงปัญญาของบุคคลอื่นซึ่งบุคคลที่เริ่มเจริญสติยังไม่มีโอกาสที่จะรู้ชัดในลักษณะของปัญญาขั้นต่างๆ นั้นเลย

เพราะฉะนั้น ที่สำคัญที่สุดคือฟังอย่างไร เพื่อที่จะปฏิบัติ ให้สติเกิดและเป็น "ความรู้จริง" ในลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏเพิ่มขึ้น เจริญขึ้น จนกว่าจะประจักษ์แจ้งด้วย "ความไม่สงสัย" เลยว่า การที่จะประจักษ์แจ้งหรือรู้ชัดในลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏนั้น จะปราศจากสติคือ การระลึกรู้ในลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ไม่ได้เลย



ขออนุโมทนาขออุทิศกุศล แด่ คุณพ่อ คุณแม่และสรรพสัตว์


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
suwit02
วันที่ 10 ต.ค. 2551
 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
เมตตา
วันที่ 10 ต.ค. 2551

เพราะฉะนั้น ที่สำคัญที่สุด คือฟังอย่างไร เพื่อที่จะปฏิบัติ ให้สติเกิดและเป็น "ความรู้จริง" ในลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏเพิ่มขึ้น เจริญขึ้น จนกว่าจะประจักษ์แจ้งด้วย "ความไม่สงสัย" เลยว่า การที่จะประจักษ์แจ้ง หรือ รู้ชัดในลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏนั้น จะปราศจากสติ คือ การระลึกรู้ในลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ไม่ได้เลย

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
pornpaon
วันที่ 11 ต.ค. 2551

เพราะฉะนั้นเรื่องของการเจริญเหตุ ที่จะให้เกิดผลนี้ก็จะต้องอบรมเจริญเหตุคือ ความรู้ พร้อม สติ ที่ระลึกรู้ในลักษณะ ของสภาพธรรม ที่กำลังปรากฏไม่ใช่หวังอื่นนะคะ แต่ว่าเจริญความรู้ขึ้น

ไม่ใช่หวังอื่นนะคะ แต่ว่าเจริญความรู้ขึ้น

คำที่ต้องอ่านซ้ำเพื่อความไม่เข้าใจผิด ตั้งความหวังผิด เพราะการฟังการศึกษาพระธรรมก็เพื่อความเข้าใจถูก ฟังอีก ศึกษาอีก เพื่อความเข้าใจถูกที่ค่อยๆ สะสมเพิ่มพูนขึ้นอีกเข้าใจถูก เจริญเหตุถูก เดินบนหนทางถูก ไม่ใช่หวังอื่น

ขออนุโมทนาคุณปริศนา

ขออนุโมทนาในกุศลจิตและกุศลวิริยะของทุกท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
wannee.s
วันที่ 11 ต.ค. 2551

ฟังด้วยความตั้งใจ ปัญญาย่อมเจริญขึ้นค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
เซจาน้อย
วันที่ 12 ต.ค. 2551

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
Komsan
วันที่ 14 ต.ค. 2551

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
chatchai.k
วันที่ 15 ก.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ