กัมมัง (การกระทำ คือ เจตนาเจตสิก) + ปัจจยะ (อาศัยเป็นไป)
สภาพเป็นที่อาศัยเป็นไปโดยความเป็นกรรม หมายถึง เจตนาเจตสิกซึ่งเป็นปัจจัยให้เกิดปัจจยุบบัน (ผล) แบ่งเป็น ๒ ประเภท ได้แก่ สหชาตกัมมปัจจัย และนานักขณิกัมมปัจจัย
สหชาตกัมมปัจจัย ได้แก่ กรรมคือเจตนาเจตสิก ที่เกิดกับจิตทุกดวงเป็นปัจจัยแก่สภาพธรรมที่เกิดพร้อมกัน คือ เป็นปัจจัยแก่จิต เจตสิกอื่น จิตตชรูป และปฏิสนธิกัมมชรูปด้วย
นานักขณิกกัมมปัจจัย ได้แก่ กรรม คือ เจตนาเจตสิก ที่เกิดกับกุศลจิตและอกุศลจิต เป็นปัจจัยแก่สภาพธรรมะที่เกิดต่างขณะ คือเป็นปัจจัยแก่วิบากจิต วิบากเจตสิก และกัมมชรูปที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
อนันตรกัมมปัจจัย ก็เป็นนานักขณิกกัมมปัจจัย แต่หมายเฉพาะเจตนาเจตสิกที่เกิดกับมรรคจิตทั้ง ๔ ซึ่งให้ผลไม่มีระหว่างคั่น คือ เป็นปัจจัยให้เกิดผลจืตสืบต่อจากมรรคจิตทันทีที่มรรคจิตดับไปแล้ว
พระอภิธรรมปิฎก ปัฏฐาน เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้าที่ 80
[๑๔] กัมมปัจจัย ธรรมที่ช่วยอุปการะ โดยความปรุงแต่งเพื่อให้กิจต่างๆ สำเร็จลง กล่าวคือ
๑. กุศลกรรมและอกุศลกรรม ก็เป็นปัจจัยแก่วิบากขันธ์ทั้งหลายและกฏัตตารูปทั้งหลาย ด้วยอำนาจของกัมมปัจจัย
๒. สภาวธรรมคือเจตนาทั้งหลายเป็นปัจจัยแก่ธรรมทั้งหลายที่ประกอบกับเจตนา และแก่รูปทั้งหลายที่มีเจตนา และธรรมทั้งหลายที่ประกอบกับเจตนานั้นเป็นสมุฏฐานด้วยอำนาจของกัมมปัจจัย
วรรณนานิทเทสแห่งกัมมปัจจัย
พึงทราบวินิจฉัยใน กัมมปัจจัยนิทเทส ต่อไป บทว่า กมฺมํ ได้แก่ เจตนาธรรม สองบทว่า กฏตฺตา จ รูปานํ แปลว่า รูปที่เกิดขึ้นเพราะถูกกรรมทำ (กรรมสร้าง) บทว่า กมฺมปจฺจเยน ความว่า ด้วยอำนาจของนานักขณิกกัมมปัจจัย ที่สามารถให้ผลของตนเกิดขึ้นได้ในที่สุดแห่งโกฏิกัป มิใช่น้อยจริงอยู่ กุศลกรรมและอกุศลกรรม ย่อมไม่ให้ผลในขณะที่ตนเป็นไป ถ้าจะพึงให้ผล (ในขณะนั้น) ไซร้ คนทำกุศลกรรมที่เป็นเหตุให้เข้าถึงเทวโลกอันใดไว้ก็จะพึงกลายเป็นเทวดาในขณะนั้นทีเดียว ด้วยอานุภาพแห่งกรรมนั้น ก็กรรมนั้นที่บุคคลทำไว้ในขณะใด แม้จะไม่มีอยู่ในขณะอื่นจากนั้น ย่อมยังผลให้เกิดขึ้นในกาลที่บุคคลพึงเข้าถึงปัจจุบัน หรือต่อจากนั้น ในเมื่อมีการประกอบพร้อมแห่งปัจจัยที่เหลือ เพราะเป็นสภาพที่กรรมทำไว้เสร็จแล้ว เปรียบเหมือนการหัดทำศิลปะครั้งแรกแม้จะสิ้นสุดไปแล้ว ก็ให้เกิดการทำศิลปะครั้งหลังๆ ในกาลอื่นได้ เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสเรียกว่า นานักขณิกกัมมปัจจัย
สองบทว่า เจตนาสมฺปยุตฺตกานํ ธมฺมานํ ความว่า เจตนาอย่างใดอย่างหนึ่ง เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่สัมปยุตกับตน ด้วยบทว่า ตํ สมุฏฺานานํ นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงถือเอากัมมชรูปในปฏิสนธิขณะด้วย. คำว่า กมฺมปจฺจเยน นี้ ตรัสหมายถึงเจตนาที่เกิดพร้อมกัน จริงอยู่บรรดาธรรมมีกุศลธรรมเป็นต้น เจตนาอย่างใดอย่างหนึ่งช่วยอุปการะแก่ธรรมที่เหลือโดยความเป็นกิริยา กล่าวคือ ความพยายามแห่งจิต เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคจึงตรัสเรียกว่า สหชาตกัมมปัจจัย พรรณนาบาลีในกัมมปัจจัยนี้เท่านี้ก่อน ก็กัมมปัจจัยนี้ โดยอรรถ ได้แก่ เจตนาที่เป็นไปในภูมิ ๔ เจตนานั้นว่าโดยประเภทแห่งชาติ จำแนกออกเป็น ๔ ชาติ คือกุศล อกุศล วิบากและกิริยาใน ๔ ชาตินั้น กุศลว่าโดยภูมิมี๔ ภูมิด้วยอำนาจกามาวจร-ภูมิเป็นต้น อกุศลมี ๑ ภูมิเท่านั้น วิบากมี๔ ภูมิ กิริยามี ๓ ภูมิ ผู้ศึกษาพึงทราบวินิจฉัยโดยการจำแนกด้วยประการต่างๆ ในกัมมปัจจัยดังกล่าวมาแล้วก็ในกัมมปัจจัย มีจำแนกได้ดังกล่าวมาแล้ว กามาวจรกุศลเจตนาที่เกิดพร้อมกัน เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่ สัมปยุต กับตนและรูป ที่มีจิตเป็นสมุฏฐาน ในปัญจโวการภพ ในจตุโวการภพ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่สัมปยุตกับตนอย่างเดียวเท่านั้น ด้วยอำนาจของสหชาตกัมมปัจจัย ส่วนเจตนาที่เกิดขึ้น แล้วดับไปเป็นปัจจัยแก่วิบากขันธ์ของตนและกัมมชรูปโดยนานักขณิกกัมมปัจจัย ก็แลเจตนานั้นเป็นปัจจัยเฉพาะในปัญจโวการภพเท่านั้น หาเป็นในภพอื่นไม่
พระอภิธรรมปิฎก ปัฏฐาน เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้าที่ 82
รูปาวจรกุศลเจตนาที่เกิดพร้อมกัน เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่สัมปยุตกับตนและแก่รูปที่มีจิตเป็นสมุฏฐาน ด้วยอำนาจของสหชาตกัมมปัจจัย โดยส่วนเดียวแต่ รูปาวจรกุศลเจตนาที่เกิดขึ้นแล้วดับไป เป็นปัจจัยแก่วิบากของตนและกัมมชรูป ด้วยอำนาจของนานักขณิกกัมมปัจจัย อรูปาวจรกุศลเจตนา และ โลกุตตรกุศลเจตนาที่เกิดพร้อมกันเป็นปัจจัยแก่ธรรมที่สัมปยุตกับตน และแก่รูปที่มีจิตเป็นสมุฏฐานในปัญจโวการภพ ในจตุโวการภพ เป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่สัมปยุตกับตนอย่างเดียวด้วยอำนาจของสหชาตกัมมปัจจัย และเจตนาทั้งสองนั้นที่เกิดขึ้นแล้วดับไปเป็นปัจจัยแก่วิบากขันธ์ของตนๆ ด้วยอำนาจของนานักขณิกกัมมปัจจัย อกุศลเจตนาที่เกิดพร้อมกันเป็นปัจจัยแก่ขันธ์ที่สัมปยุตกับตน และรูปที่มีจิตเป็นสมุฏฐานในปัญจโวการภพ ในจตุโวการภพ เป็นปัจจัยเฉพาะแก่อรูปขันธ์เท่านั้นด้วยอำนาจของสหชาตกัมมปัจจัย อกุศลเจตนานั้นที่เกิดขึ้นแล้วดับไป เป็นปัจจัยแก่วิบากขันธ์และกัมมชรูป ด้วยอำนาจของนานักขณิกกัมมปัจจัย วิบากเจตนาฝ่ายกามาวจรและรูปาวจร เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่สัมปยุตกับตนและเป็นปัจจัยแก่จิตตชรูปในปวัตติกาล แก่กัมมชรูปในปฏิสนธิกาล ด้วยอำนาจของสหชาตกัมมปัจจัย
อรูปาวจรวิบากเจตนา เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่สัมปยุตกับตนอย่างเดียวด้วยอำนาจของสหชาตกัมมปัจจัยโลกุตตรวิบากเจตนา เป็นปัจจัย แก่ธรรมที่สัมปยุตกับตน และรูปที่มีจิตเป็นสมุฏฐาน ในปัญจโวการภพ ในจตุโวการภพ เป็นปัจจัยแก่อรูปธรรมเท่านั้น ด้วยอำนาจของสหชาตกัมมปัจจัย กิริยาเจตนา ที่เกิดในภูมิทั้งสาม เป็นปัจจัยแก่ธรรมที่สัมปยุต และจิตตชรูป ในปัญจโวการภพ ด้วยอำนาจของสหชาตกัมมปัจจัย ก็กิริยาเจตนาที่เกิดในอรูปภพ เป็นปัจจัยเฉพาะแก่อรูปธรรมเท่านั้น ด้วยอำนาจของสหชาตกัมมปัจจัย ผู้ศึกษาพึงทราบวินิจฉัยแม้โดยธรรมที่เป็นปัจจยุบบันในกัมมปัจจัยนี้ดังกล่าวมาแล้วแล
วรรณนานิทเทสแห่งกัมมปัจจัย จบ
ปัจจัยใหญ่ๆ ที่ทำให้สภาพธรรมทั้งหลายเกิดขึ้นนั้นมี ๒๔ ปัจจัย กรรมเป็นปัจจัยให้วิบากเกิดขึ้น ฉะนั้นกรรมจึงเป็นกัมมปัจจัย เป็นปัจจัยหนึ่งใน ๒๔ ปัจจัย ขณะเห็นได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้โผฏฐัพพะนั้น เป็นวิบากจิตและวิบากเจตสิก ซึ่งเกิดขึ้นเพราะกัมมปัจจัย ไม่มีใครบันดาลให้เกิดขึ้นตามใจชอบได้เช่น ขณะนี้เห็นแล้ว ได้ยินแล้ว ใครจะไม่ให้เห็น ไม่ให้ได้ยินได้บ้างในเมื่อเห็นเกิดขึ้นแล้วเพราะกรรมเป็นปัจจัยและได้ยินก็เกิดขึ้นแล้วเพราะกรรมเป็นปัจจัย
จากหนังสือปรมัตถธรรมสังเขป หน้าที่ ๖๓