แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 164


พระผู้มีพระภาคตรัสต่อไปว่า

ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้สิ้นอาสวะแล้ว อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว ทำกิจที่ควรทำเสร็จแล้ว ปลงภาระได้แล้ว บรรลุประโยชน์แล้วโดยลำดับ สิ้นสัญโยชน์ในภพแล้ว พ้นวิเศษแล้ว เพราะรู้ชอบ จึงนับว่ามีธรรมอันสมควรจะพยากรณ์ได้ ดังนี้ว่า

ดูกร ท่านผู้มีอายุ ข้าพเจ้าครองปฐวีธาตุโดยความเป็นอนัตตา มิใช่ครองอัตตาอาศัยปฐวีธาตุเลย จึงทราบชัดว่า จิตของเราหลุดพ้นแล้ว เพราะสิ้น สำรอก ดับ สละ และสลัดคืน ซึ่งอุปาทานขันธ์ที่ยึดมั่นอาศัยปฐวีธาตุ และ อนุสัย คือ ความตั้งใจและความปักใจมั่นอาศัยปฐวีธาตุได้

ข้าพเจ้าครองอาโปธาตุโดยความเป็นอนัตตา เพราะสิ้น สำรอก ดับ สละ และสลัดคืน ซึ่งอุปาทานขันธ์ที่ยึดมั่นอาศัยอาโปธาตุ และอนุสัย คือ ความตั้งใจและความปักใจมั่นอาศัยอาโปธาตุได้

ข้าพเจ้าครองเตโชธาตุโดยความเป็นอนัตตา เพราะสิ้น สำรอก ดับ สละ และสลัดคืน ซึ่งอุปาทานขันธ์ที่ยึดมั่นอาศัยเตโชธาตุ และอนุสัย คือ ความตั้งใจ และความปักใจมั่นอาศัยอาโปธาตุได้

ข้าพเจ้าครองวาโยธาตุโดยความเป็นอนัตตา เพราะสิ้น สำรอก ดับ สละ และสลัดคืน ซึ่งอุปาทานขันธ์ที่ยึดมั่นอาศัยวาโยธาตุ และอนุสัย คือ ความตั้งใจและความปักใจมั่นอาศัยวาโยธาตุได้

ข้าพเจ้าครองอากาสธาตุโดยความเป็นอนัตตา เพราะสิ้น สำรอก ดับ สละ และสลัดคืน ซึ่งอุปาทานขันธ์ที่ยึดมั่นอาศัยอากาสธาตุ และอนุสัย คือ ความตั้งใจและความปักใจมั่นอาศัยอากาสธาตุได้

ข้าพเจ้าครองวิญญาณธาตุโดยความเป็นอนัตตา มิใช่ครองอัตตาอาศัย วิญญาณธาตุเลย จึงทราบชัดว่า จิตของเราหลุดพ้นแล้ว เพราะสิ้น สำรอก ดับ สละ และสลัดคืน ซึ่งอุปาทานขันธ์ที่ยึดมั่นอาศัยวิญญาณธาตุ และอนุสัย คือ ความตั้งใจและความปักใจมั่นอาศัยวิญญาณธาตุได้

ดูกร ท่านผู้มีอายุ จิตของข้าพเจ้า ผู้รู้อยู่ เห็นอยู่ อย่างนี้แล จึงได้หลุดพ้นจากอาสวะ ไม่ยึดมั่นในธาตุ ๖ นี้

. กระผมได้มีโอกาสสนทนากับท่านผู้หนึ่งที่บอกว่า เจริญสติปัฏฐานได้ผล ท่านบอกว่า ท่านเจริญโดยวิธีรู้รูป รู้นามตามทวารทั้ง ๖ ที่เกิดขึ้นตามความเป็นจริง คือ ทางตา ทางหูท่านให้กำหนดที่นาม เพราะสักกายทิฏฐิอยู่ที่นี่

ผมก็เรียนถามท่านต่อไปว่า การกำหนดกายานุปัสสนาสติปัฏฐานนี้ ในฐานะของอิริยาบถควรจะกำหนดอย่างไร ท่านบอกว่ากำหนดโดยวิธีรู้รูป เป็นรูปนั่ง รูปยืน รูปเดิน รูปนอน คือ สำหรับผู้มีปัญญาน้อยก็ต้องรู้อย่างนี้ไปก่อน ต้องรู้ให้ชินเสียก่อน

ถามถึงเสียงว่ารู้อย่างไร ท่านบอกว่า กำหนดที่เสียง รู้ที่เสียงเรื่อยไป รู้ว่าเป็นเสียงอย่างเดียว ไม่ต้องรู้ว่าเป็นเสียงอะไรทั้งนั้น ส่วนรูปท่านก็บอกว่า ผู้มีปัญญาอ่อนต้องรู้ทั้งแท่งก่อน

ถามถึงที่ท่านบอกว่าท่านรู้แล้ว ท่านได้ผล ได้ผลอย่างไร ท่านก็บอกว่า ก็รู้รูปรู้นามตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้น และท่านก็กล่าวว่า นี่แหละเป็นญาณ

อีกคนหนึ่ง ที่เคยเล่าไปแล้ว ท่านบอกว่า รูปนาม คือ รูปยืน เดิน นั่ง นอน อะไรๆ ต่างๆ เหล่านี้ ท่านก็กำหนดไปตลอดเวลา ๖ วันนั้น ท่านบอกว่าเป็นสมาธิทั้งหมดเลย จนกระทั่งวันที่ ๗ ท่านระลึกได้ว่า ไม่ถูก ใช้ไม่ได้ ท่านก็กำหนดที่จิต แต่กำหนดที่จิตนี้กำหนดอะไรก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าอึดอัดเหลือเกิน ผมก็บอกว่าเป็นเวทนา ทำไมท่านไม่รู้ ท่านบอกว่าตอนนั้นไม่รู้ พออึดอัดๆ แล้วก็ล้มลง ตอนล้มลงดูเสมือนว่า จิตมิได้สั่งให้รูปทรงอยู่เสียแล้ว รูปจึงล้มลงไปเพราะมัวกำหนดที่จิตอยู่

สุ. จะเห็นได้ว่า การปฏิบัตินั้น เหตุกับผลต้องตรงกัน ถ้าเหตุเป็นอย่างนี้ ผลก็คือ ไม่ได้มีความรู้อะไร เพราะว่าข้อปฏิบัติไม่ใช่ระลึกรู้สภาพธรรมที่ปรากฏตามความเป็นจริง

สำหรับผู้ที่ดูรูปทั้งแท่ง เป็นท่านั่ง ท่านอน ท่ายืน ท่าเดิน มีโอกาสจะรู้ปฐวีธาตุ เตโชธาตุ อาโปธาตุ วาโยธาตุ และอากาสธาตุไหม เวลาที่ธาตุลม ที่ตึงหรือไหวไป ที่กำลังปรากฏที่ส่วนหนึ่งส่วนใดก็ตาม เป็นทั้งแท่งหรือเปล่า เวลาที่ไหวกำลังปรากฏ ก็ปรากฏหลายๆ กลาป แต่ว่าลักษณะไหวเท่านั้น เวลาที่อ่อนกำลังปรากฏ ก็หลายๆ กลาป แต่ว่าลักษณะอ่อนเท่านั้น ผู้ที่รู้ชัดยิ่งขึ้นตามความเป็นจริงจะไม่มีความสงสัยในอรรถที่ได้ทรงแสดงไว้เลย เป็นเรื่องปกติธรรมดาจริง แต่ว่าอารมณ์นั้นลึกซึ้ง อารมณ์นั้นละเอียด ซึ่งท่านที่ประจักษ์ลักษณะของอารมณ์ถูกต้องตามความเป็นจริง ท่านก็เข้าใจได้ในความลึกซึ้งของอารมณ์นั้น

ที่บอกว่ากำลังนั่ง แต่ไม่ให้รู้อ่อน แข็ง เย็น ร้อน ตึง ไหว ท่านก็ปฏิเสธพระไตรปิฎก จะไปรู้ทั้งแท่งรวมกัน ก็ไม่มีโอกาสที่จะรู้อากาสธาตุหรือความเป็นกลาป กลุ่มของรูปหลายๆ กลุ่มที่ปรากฏรวมกันอย่างละเอียด

ข้อความต่อไป พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

ดูกร ภิกษุทั้งหลาย คำกล่าวของภิกษุรูปนั้น พวกเธอควรชื่นชม อนุโมทนาว่า สาธุ ครั้นแล้วพึงถามปัญหาให้ยิ่งขึ้นไปว่า

ดูกร ท่านผู้มีอายุ ก็อายตนะภายใน อายตนะภายนอก อันพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ผู้ทรงรู้ ทรงเห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธะ ตรัสไว้ชอบนี้ มีอย่างละ ๖ แล อย่างละ ๖ เป็นไฉน คือ จักษุและรูป โสตและเสียง ฆานและกลิ่น ชิวหาและรส กายและโผฏฐัพพะ มโนและธัมมารมณ์

ดูกร ท่านผู้มีอายุ นี้แล อายตนะภายใน อายตนะภายนอก อย่างละ ๖ อัน พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ผู้ทรงรู้ ทรงเห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธะ ตรัสไว้ชอบแล้ว ก็จิตของท่านผู้มีอายุ ผู้รู้อยู่ เห็นอยู่ อย่างไรเล่า จึงหลุดพ้นจากอาสวะ ไม่ยึดมั่นในอายตนะทั้งภายใน ทั้งภายนอก อย่างละ ๖ เหล่านี้

ผู้ที่เจริญสติปัฏฐานไม่รู้อายตนะได้ไหม จะให้ไม่รู้นั่น จะไม่ให้รู้นี่ ให้เว้น ให้ข้าม เสียงไม่ให้รู้ สีไม่ให้รู้ ทางตาให้รู้เห็น ทางหูให้รู้ได้ยิน พอถึงทางจมูกไม่ให้รู้ได้กลิ่น แต่ให้รู้กลิ่น ไม่ให้รู้สภาพที่รู้รส แต่ให้รู้รส ทางกายก็ไม่ให้รู้สภาพที่กำลังรู้เย็น ร้อน อ่อน แข็ง ตึง ไหว นั่นเป็นเรื่องไม่ให้รู้ ในพระไตรปิฎกไม่มีเรื่องไม่ให้รู้ มีแต่เรื่องเจริญสติ เจริญปัญญาเพื่อความรู้ชัด แล้วละความไม่รู้ให้หมด ละความสงสัย เคลือบแคลงในสิ่งที่ปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ

เพราะฉะนั้น ผู้ใดจะเจริญสติ ไม่ต้องกลัวที่จะระลึกรู้ลักษณะของนามและรูปให้ถูกต้องตามความเป็นจริงทั้งทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ให้รู้ชัด ไม่ใช่ว่าข้ามไป ไม่ให้รู้นั่น ไม่ให้รู้นี่

จากธาตุมาถึงอายตนะ อายตนะเป็นธัมมานุปัสสนา ไม่ให้เจริญ ไม่ให้ระลึกรู้ ไม่ได้ เพราะการที่จะรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง ต้องรู้ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจนั่นเอง

ข้อความต่อไป พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้สิ้นอาสวะแล้ว อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว ทำกิจที่ควรทำเสร็จแล้ว ปลงภาระได้แล้ว บรรลุประโยชน์ตนแล้วโดยลำดับ สิ้นสัญโยชน์ในภพแล้ว พ้นวิเศษแล้ว เพราะรู้ชอบ จึงนับว่า มีธรรมอันสมควรจะพยากรณ์ได้ ดังนี้ว่า

ดูกร ท่านผู้มีอายุ ข้าพเจ้าทราบชัดว่า จิตของเราหลุดพ้นแล้ว เพราะสิ้น สำรอก ดับ สละ และสลัดคืนซึ่งความพอใจ ความกำหนัด ความยินดี ตัณหา อุปาทานที่ยึดมั่น และอนุสัย คือ ความตั้งใจและความปักใจมั่นในจักษุ ในรูป ในจักษุวิญญาณ และในธรรมที่พึงรู้แจ้งด้วยจักษุวิญญาณ

ข้าพเจ้าทราบชัดว่า จิตของเราหลุดพ้นแล้ว เพราะสิ้น สำรอก ดับ สละ และสลัดคืน ซึ่งความพอใจ ความกำหนัด ความยินดี ตัณหา อุปาทานที่ยึดมั่น และอนุสัย คือ ความตั้งใจและความปักใจมั่นในโสตะ ในเสียง ในโสตวิญญาณ และในธรรมที่พึงรู้แจ้งด้วยโสตวิญญาณ

ข้อความต่อไปเป็นทวารอื่น โดยนัยเดียวกัน ไม่ใช่เรื่องไม่รู้ เรื่องรู้ทั้งนั้น ข้อความต่อไปพระผู้มีพระภาคตรัสว่า

ดูกร ภิกษุทั้งหลาย คำกล่าวของภิกษุรูปนั้น พวกเธอควรชื่นชม อนุโมทนาว่า สาธุ ครั้นแล้วพึงถามปัญหาให้ยิ่งขึ้นไปว่า

ก็เมื่อท่านผู้มีอายุรู้อยู่ เห็นอยู่อย่างไร จึงถอนอนุสัย คือ ความถือตัวว่าเป็นเรา ว่าของเรา ในกายอันมีวิญญาณนี้ และในนิมิตทั้งหมดในภายนอกได้ด้วยดี

การที่จะบรรลุคุณธรรมเป็นพระอรหันต์เป็นเรื่องของการไม่ครองเรือน เพราะฉะนั้น เมื่อภิกษุรูปนั้นได้รับคำถามถึงการถอนอนุสัย คือ ความถือตัวว่าเป็นเรา ว่าของเรา ภิกษุรูปนั้นก็กล่าวตอบว่า

ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้สิ้นอาสวะแล้ว อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว ทำกิจที่ควรทำเสร็จแล้ว ปลงภาระได้แล้ว บรรลุประโยชน์ตนแล้วโดยลำดับ สิ้นสัญโยชน์ในภพแล้ว พ้นวิเศษแล้ว เพราะรู้ชอบ จึงนับว่ามีธรรมอันสมควรจะพยากรณ์ได้ ดังนี้ว่า

ดูกร ท่านผู้มีอายุ เมื่อก่อนข้าพเจ้าเป็นผู้ครองเรือน ยังเป็นผู้ไม่รู้ พระตถาคตบ้าง สาวกของพระตถาคตบ้าง แสดงธรรมแก่ข้าพเจ้านั้น ข้าพเจ้าฟังธรรมนั้นแล้ว จึงได้ความเชื่อในพระตถาคต ข้าพเจ้าประกอบได้ความเชื่อโดยเฉพาะนั้น จึงพิจารณาเห็นดังนี้ว่า

ฆราวาสคับแคบ เป็นทางมาแห่งธุลี บรรพชาเป็นช่องว่าง เรายังอยู่ครองเรือนจะประพฤติพรหมจรรย์ให้บริสุทธิ์บริบูรณ์โดยส่วนเดียว ดุจสังข์ที่เขาขัดแล้วนี้ มิใช่ทำได้ง่าย อย่ากระนั้นเลย เราพึงปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ แล้วออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตเถิด

นี่สำหรับผู้ที่มีอัธยาศัยสะสมอบรมบารมีที่จะเป็นพระอรหันต์ ท่านก็ละอาคารบ้านเรือนเป็นเพศบรรพชิต เมื่อท่านบวชเป็นผู้ที่ทรงศีล ท่านกล่าวว่า

ข้าพเจ้าได้เป็นผู้สันโดษ ด้วยจีวรเป็นเครื่องบริหารกาย และบิณฑบาตเป็นเครื่องบริหารท้อง จะไปที่ใดๆ ย่อมถือเอาบริขารไปได้หมด เหมือนนกมีปีกจะบินไปที่ใดๆ ย่อมมีภาระคือปีกของตนเท่านั้นบินไป ซึ่งเมื่อท่านบวชแล้ว ประกอบด้วยศีลขันธ์ของพระอริยะเช่นนี้แล้ว ท่านก็เป็นผู้ที่ปฏิบัติเพื่อสำรวม จักขุนทรีย์ มีการเห็นรูป เป็นต้น ได้เป็นผู้ทำความรู้สึกตัวในเวลาก้าวไปและถอยกลับ ในเวลาแลดู และเหลียวดู ในเวลางอแขนและเหยียดแขน ในเวลาทรงผ้าสังฆาฏิ บาตรและจีวร ในเวลาฉัน ดื่ม เคี้ยวและลิ้ม ในเวลาถ่ายอุจาระและปัสสาวะ ในเวลาเดิน ยืน นั่ง นอน หลับ ตื่น พูด และนิ่ง

เจริญสติทุกๆ ขณะที่จะเป็นไปได้ ไม่เว้น อย่างเวลาที่ประกอบกิจการงาน ในพระวินัยปิฎกจะไม่พ้นไปจากการประกอบด้วยอินทรียสังวรของพระอริยะ ในขณะที่ก้าวไป ถอยกลับ แลดู เหลียวดู งอแขน เหยียดแขน เป็นเรื่องของการประกอบกิจการงานในชีวิตประจำวัน

เมื่อท่านบวชเป็นบรรพชิตแล้ว ประกอบด้วยศีลของบรรพชิต ประกอบด้วยอินทรียสังวรแล้ว ข้อความต่อไปมีว่า

ก็ข้าพเจ้าประกอบด้วยศีลขันธ์ของพระอริยะเช่นนี้ ประกอบด้วยอินทรียสังวรของพระอริยะเช่นนี้ และประกอบด้วยสติสัมปชัญญะของพระอริยะเช่นนี้แล้ว จึงได้พอใจเสนาสนะอันสงัด คือ ป่า โคนไม้ ภูเขา ซอกเขา ถ้ำบนเขา ป่าช้า ป่าชัฏ ที่แจ้ง และลอมฟาง

ท่านจะเห็นการเจริญขึ้นตามลำดับ ตั้งแต่ได้ฟังธรรม มีอัธยาศัยในการออก บรรพชา อุปสมบทเป็นบรรพชิต ประกอบด้วยศีลของบรรพชิต ประกอบอินทรียสังวร มีการเจริญสติปัฏฐาน แล้วจึงมีความยินดีในเสนาสนะที่สงัด


หมายเลข  5831
ปรับปรุง  18 ม.ค. 2566