แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 96


ต่อไปก็เป็นธาตุลม

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

ดูกร ภิกษุ ก็วาโยธาตุเป็นไฉน คือ วาโยธาตุภายในก็มี ภายนอกก็มี ก็วาโยธาตุภายในเป็นไฉน ได้แก่ สิ่งที่พัดผันไป กำหนดได้ มีในตน อาศัยตน คือ ลมพัดขึ้นเบื้องบน ลมพัดลงเบื้องต่ำ ลมในท้อง ลมในลำไส้ ลมแล่นไปตามอวัยวะน้อยใหญ่ ลมหายใจออก ลมหายใจเข้า หรือแม้สิ่งอื่น ไม่ว่าชนิดไรๆ ที่พัดผันไป กำหนดได้ มีในตน อาศัยตน นี้เรียกว่า วาโยธาตุภายใน

ก็วาโยธาตุทั้งภายในและภายนอกนี้แล เป็นวาโยธาตุทั้งนั้น พึงเห็นวาโยธาตุนั้นด้วยปัญญาชอบตามเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่เรา ไม่ใช่อัตตาของเรา ครั้นเห็นแล้วจะเบื่อหน่ายวาโยธาตุ แล้วจะให้จิตคลายกำหนัดวาโยธาตุได้

สำหรับธาตุลม ก็มี ๖ ลักษณะที่ทรงแสดงไว้ คือ

ลมพัดขึ้นเบื้องบน ๑ ลมพัดลงเบื้องต่ำ ๑ ลมในท้อง ๑ ลมในไส้ ๑ ลมแล่นไปตามอวัยวะน้อยใหญ่ ๑ ลมหายใจออกลมหายใจเข้า ๑

ลมที่พัดไปมาในร่างกายก็มี ไม่ใช่ตัวตนทั้งนั้น รวมกันแล้วยึดถือว่าเป็นตัวตน เป็นเรา เป็นของเรา ก็เป็นความเข้าใจผิดที่ยึดถือธาตุลักษณะต่างๆ ที่มาประชุมรวมกัน

ต่อไป คือ อากาศธาตุ

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

ดูกร ภิกษุ ก็อากาศธาตุเป็นไฉน คือ อากาศธาตุภายในก็มี ภายนอกก็มี ก็อากาศธาตุภายในเป็นไฉน ได้แก่ สิ่งที่ว่าง ปรุโปร่ง กำหนดได้ มีในตน อาศัยตน คือ ช่องหู ช่องจมูก ช่องปาก ซึ่งเป็นทางให้กลืนของที่กิน ที่ดื่ม ที่เคี้ยว ที่ลิ้ม เป็นที่ตั้งของที่กิน ที่ดื่ม ที่เคี้ยว ที่ลิ้ม และเป็นทางระบายของที่กิน ที่ดื่ม ที่เคี้ยว ที่ลิ้มแล้วออกทางเบื้องล่าง หรือแม้สิ่งอื่นไม่ว่าชนิดไรๆ ที่ว่าง ปรุโปร่ง กำหนดได้ มีในตน อาศัยตน นี้เรียกว่า อากาศธาตุภายใน

ก็อากาศธาตุทั้งภายในและภายนอกนี้แล เป็นอากาศธาตุทั้งนั้น พึงเห็นอากาศธาตุนั้นด้วยปัญญาชอบตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่เรา ไม่ใช่อัตตาของเรา ครั้นเห็นแล้วจะเบื่อหน่ายอากาศธาตุ แล้วจะให้จิตคลายกำหนัดอากาศธาตุได้

ที่ในกายมีอากาศธาตุคั่นอยู่ เป็นช่องว่างละเอียดทุกปรมาณูทีเดียว ที่ทำให้ร่างกายนี้แตกย่อยยับเป็นส่วนๆ เป็นชิ้นๆ อย่างละเอียดได้ เพราะเหตุว่ามีอากาศธาตุแทรกคั่นอยู่ทั่วไปในร่างกาย แล้วประโยชน์ของการที่ทรงแสดงอากาศธาตุก็เพื่อที่จะให้เห็นว่า แท้ที่จริงแล้วที่หลงยึดถือ คือ อากาศธาตุด้วย เป็นส่วนว่างในร่างกาย แต่เพราะอาศัยธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม มาประชุมรวมกันทำให้สำคัญยึดถือส่วนที่มาประชุมรวมกันที่อากาศนี้เองว่า เป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคล

อุปมาเหมือนกับที่ว่างแห่งหนึ่ง ยังไม่มีไม้ ยังไม่มีอิฐ ยังไม่มีปูน ยังไม่มีเชือก ยังไม่มีเถาวัลย์ ยังไม่มีวัตถุที่จะมาก่อสร้างให้เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดขึ้น ก็ไม่เกิดความยึดถือว่าเป็นบ้าน เป็นเรือน เป็นอาคารต่างๆ แต่พอเอาอิฐ เอาไม้ เอาปูน เอาเชือก เอาเถาวัลย์ เอาดินเหนียว หรือเอาอะไรๆ ก็ตามมาประกอบขึ้นไปที่นั้น อากาศธาตุที่ว่างในที่นั้นก็มีส่วนอื่นมาประชุมรวมเกิดขึ้นให้สำคัญผิดว่า เป็นบ้าน เป็นเรือน เป็นอาคารต่างๆ ฉันใด ที่กายนี้ก็เหมือนกัน ส่วนแท้ๆ ส่วนหนึ่งที่มีก็คือ อากาศธาตุ แต่ว่ามีธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม มารวมมาปนอยู่ด้วยก็เลยทำให้ยึดถือว่าเป็นตัวตน

ประการต่อไป คือ วิญญาณธาตุ

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

ต่อนั้น สิ่งที่จะเหลืออยู่อีก ก็คือ วิญญาณอันบริสุทธิ์ผุดผ่อง บุคคลย่อมรู้อะไรๆ ได้ด้วยวิญญาณนั้น คือ รู้ชัดว่า สุขบ้าง ทุกข์บ้าง ไม่ทุกข์ไม่สุขบ้าง

ดูกร ภิกษุ เพราะอาศัยผัสสะเป็นที่ตั้งแห่งสุขเวทนา ย่อมเกิดสุขเวทนา บุคคลนั้นเมื่อเสวยสุขเวทนา ย่อมรู้สึกว่า กำลังเสวยสุขเวทนาอยู่ เพราะผัสสะเป็นที่ตั้งแห่งเวทนานั้นแลดับไป ย่อมรู้สึกว่า ความเสวยอารมณ์ที่เกิดแต่ผัสสะนั้น คือ ตัวสุขเวทนาอันเกิดเพราะอาศัยผัสสะเป็นที่ตั้งแห่งสุขเวทนาย่อมดับ ย่อมเข้าไปสงบ เพราะอาศัยผัสสะเป็นที่ตั้งแห่งทุกขเวทนา ย่อมเกิดทุกขเวทนา บุคคลนั้นเมื่อเสวยทุกขเวทนา ย่อมรู้สึกว่า กำลังเสวยทุกขเวทนาอยู่ เพราะผัสสะเป็นที่ตั้งแห่งทุกขเวทนานั้นแลดับไป ย่อมรู้สึกว่า ความเสวยอารมณ์ที่เกิดแต่ผัสสะนั้น คือ ตัวทุกขเวทนาอันเพราะอาศัยผัสสะเป็นที่ตั้งแห่งทุกขเวทนาย่อมดับ ย่อมเข้าไปสงบ

เพราะอาศัยผัสสะเป็นที่ตั้งแห่งอทุกขมสุขเวทนา ย่อมเกิดอทุกขมสุขเวทนา บุคคลนั้นเมื่อเสวยอทุกขมสุขเวทนา ย่อมรู้สึกว่า กำลังเสวยอทุกขมสุขเวทนาอยู่ เพราะผัสสะเป็นที่ตั้งแห่งอทุกขมสุขเวทนานั้นแลดับไป ย่อมรู้สึกว่า ความเสวยอารมณ์ที่เกิดแต่ผัสสะนั้น คือ ตัวอทุกขมสุขเวทนาอันเกิดเพราะอาศัยผัสสะเป็นที่ตั้งแห่งอทุกขมสุขเวทนาย่อมดับ ย่อมเข้าไปสงบ

ทุกอย่างที่สติระลึกรู้ได้ ไม่ว่าสุขเวทนาเกิดขึ้น รู้ว่าสุขเวทนาเกิดเพราะอาศัยปัจจัยอะไร ถ้าทุกขเวทนาเกิด ก็รู้ว่า ทุกขเวทนาเกิดนั้นเพราะอาศัยปัจจัยอะไร ถ้าความรู้สึกเฉยๆ อทุกขมสุขเวทนาเกิด ก็รู้ว่า อทุกขมสุขเวทนา คือ ความรู้สึกเฉยๆ นั้นเกิดขึ้นเพราะอาศัยปัจจัยอะไร เพราะเนื่องมาจากทางตา หรือทางหู หรือทางจมูก หรือทางลิ้น หรือทางกาย หรือทางใจ และเมื่อดับก็รู้ด้วยว่า สุขเวทนานั้นดับ ทุกขเวทนานั้นดับ หรือว่าอุเบกขาเวทนานั้นดับหมดแล้ว

ต่อไปขอกล่าวถึงข้อความที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงว่า ไม่พึงประมาทปัญญา พึงตามรักษาสัจจะ พึงเพิ่มพูนจาคะ เพื่อศึกษาสันติ ว่าทรงมุ่งหมายอย่างไร

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

ดูกร ภิกษุ เปรียบเหมือนประทีปน้ำมัน อาศัยน้ำมันและไส้ จึงโพลงอยู่ได้ เพราะสิ้นน้ำมันและไส้นั้น และไม่เติมน้ำมัน และไส้อื่น ย่อมเป็นประทีปหมดเชื้อ ดับไป ฉันใด ดูกร ภิกษุ ฉันนั้นเหมือนกันแล บุคคลเมื่อเสวยเวทนามีกายเป็นที่สุด ย่อมรู้สึกว่า กำลังเสวยเวทนามีกายเป็นที่สุด เมื่อเสวยเวทนามีชีวิตเป็นที่สุด ย่อมรู้สึกว่า กำลังเสวยเวทนามีชีวิตเป็นที่สุด และรู้สึกว่า เบื้องหน้าแต่สิ้นชีวิตเพราะตายไปแล้ว ความเสวยอารมณ์ทั้งหมดที่ยินดีกันแล้วในโลกนี้แล จักเป็นของสงบ เพราะเหตุนั้น ผู้ถึงพร้อมด้วยความรู้สึกอย่างนี้ ชื่อว่า เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยปัญญาอันเป็นธรรมควรตั้งไว้ในใจอย่างยิ่ง ประการนี้ ก็ปัญญานี้ คือ ความรู้ในความสิ้นทุกข์ทั้งปวง เป็นปัญญาอันประเสริฐยิ่ง

เวลานี้มีสุขเวทนาบ้าง มีทุกขเวทนาบ้าง มีอทุกขมสุขเวทนาบ้าง แต่ถึงปัญญาขั้นที่รู้ว่า เมื่อสิ้นชีวิตลงแล้วก็ไม่มีสุขเวทนาอีกเลย ไม่มีทุกขเวทนาอีกเลย ไม่มีอุเบกขาเวทนาอีกเลย นั่นจึงจะเป็นความสงบที่แท้จริง ถ้าไม่ถึงขั้นนี้ก็ไม่ใช่ปัญญาที่ประเสริฐยิ่ง เพราะเหตุว่าปัญญาที่ประเสริฐยิ่งจะต้องเป็นปัญญาที่รู้อย่างนี้ คือ รู้ว่าเบื้องหน้าแต่สิ้นชีวิตเพราะตายไปแล้ว ความเสวยอารมณ์ทั้งหมด ที่ยินดีกันแล้วในโลกนี้แล จักเป็นของสงบ เพราะเหตุนั้นผู้ถึงพร้อมด้วยความรู้สึกอย่างนี้ ชื่อว่าเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยปัญญา อันเป็นธรรมควรตั้งไว้ในใจอย่างยิ่ง ประการนี้ ก็ปัญญานี้ คือความรู้ในความสิ้นทุกข์ทั้งปวง เป็นปัญญาอันประเสริฐยิ่ง

สำหรับเรื่องต่อไปที่เกี่ยวเนื่องกัน

ความหลุดพ้นของเขานั้น จัดว่าตั้งอยู่ในสัจจะ เป็นคุณ ไม่กำเริบ ดูกร ภิกษุ เพราะสิ่งที่เปล่าประโยชน์เป็นธรรมดานั้นเท็จ สิ่งที่ไม่เลอะเลือนเป็นธรรมดา ได้แก่ นิพพานนั้นจริง

ฉะนั้น ผู้ถึงพร้อมด้วยสัจจะอย่างนี้ ชื่อว่าเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยสัจจะ อันเป็นธรรมควรตั้งไว้ในใจอย่างยิ่งประการนี้ ก็สัจจะนี้ คือ นิพพาน มีความไม่เลอะเลือนเป็นธรรมดา เป็นสัจจะอันประเสริฐยิ่ง อนึ่งบุคคลนั้นแล ยังไม่ทราบในกาลก่อน จึงเป็นอันพรั่งพร้อมสมาทานอุปธิเข้าไว้ อุปธิเหล่านั้นเป็นอันเขาละได้แล้ว ถอนรากขึ้นแล้ว ทำให้เหมือนตาลยอดด้วนแล้ว ถึงความเป็นอีกไม่ได้ มีความไม่เกิดต่อไปเป็นธรรมดา เพราะฉะนั้น ผู้ถึงพร้อมด้วยการสละอย่างนี้ ชื่อว่าเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยจาคะ อันเป็นธรรมควรตั้งไว้ในใจอย่างยิ่ง ประการนี้ ก็จาคะนี้ คือ ความสละคืนอุปธิทั้งปวง เป็นจาคะอันประเสริฐยิ่ง

สัจจะที่ประเสริฐก็เป็นการรู้แจ้งนิพพาน หรือนิพพานนั่นเองเป็นสัจจะ คือ ไม่เลอะเลือน เปลี่ยนแปลง แปรปรวน เกิดขึ้น แล้วก็ดับไป เพราะฉะนั้น ผู้ที่ถึงความเป็นสัจจะอย่างยิ่ง เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยสัจจะ อันเป็นธรรมควรตั้งไว้ในใจอย่างยิ่ง คือ ผู้ที่รู้แจ้งสิ่งที่ไม่เลอะเลือน ส่วนจาคะก็เช่นเดียวกัน บางครั้งก็สละวัตถุ บางครั้งก็สละกิเลส แต่ถ้าสละจริงๆ เป็นการสละอย่างยิ่ง เป็นการสละที่ประเสริฐ แล้วต้องสละอุปธิ คือ กิเลส และขันธ์ ไม่มีการยึดถือ สละคืนอุปธิทั้งปวง เป็นจาคะอันประเสริฐยิ่ง

ข้อความต่อไป เรื่องความสงบอย่างยิ่ง มีว่า

อนึ่งบุคคลนั้นแลยังไม่ทราบในกาลก่อน จึงมีอภิชฌา ฉันทะ ราคะกล้า อาฆาต พยาบาท ความคิดประทุษร้าย อวิชชา ความหลงพร้อม และความหลงงมงาย อกุศลธรรมนั้นๆ เป็นอันเขาละได้แล้ว ถอนรากขึ้นแล้ว ทำให้เหมือนตาลยอดด้วนแล้ว ถึงความเป็นอีกไม่ได้ มีความไม่เกิดต่อไปเป็นธรรมดา เพราะฉะนั้น ผู้ถึงพร้อมด้วยความสงบอย่างนี้ ชื่อว่าเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยอุปสมะ อันเป็นธรรมควรตั้งไว้ในใจอย่างยิ่ง ประการนี้ ก็อุปสมะนี้ คือ ความเข้าไปสงบราคะ โทสะ โมหะ เป็นอุปสมะอันประเสริฐอย่างยิ่ง

ข้อที่เรากล่าวถึงดังนี้ว่า ไม่พึงประมาทปัญญา พึงตามรักษาสัจจะ พึงเพิ่มพูนจาคะ พึงศึกษาสันติเท่านั้น นั่นเราอาศัยเนื้อความนี้กล่าวแล้ว

คำว่า สงบ บางท่านเวลาที่อ่านพระสูตรอาจคิดว่า หมายความถึงสมาธิ แต่ความจริงไม่ใช่ ความสงบที่ประเสริฐ ความสงบที่แท้จริง คือ สงบจากกิเลสทั้งปวง ขออ่านตอนสุดท้ายให้จบ เพื่อจะได้ทราบว่า ในระหว่างที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงธรรมนั้น เมื่อทรงแสดงธรรมจบ ผลของพระธรรมเทศนาจะเป็นอย่างไรบ้าง ข้อความตอนสุดท้ายมีว่า

ลำดับนั้นแล ท่านปุกกุสาติทราบแน่นอนว่า พระศาสดาพระสุคตพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาถึงแล้วโดยลำดับ จึงลุกจากอาสนะ ทำจีวรเฉวียงบ่าข้างหนึ่ง ซบเศียรลงแทบพระยุคลบาทของพระผู้มีพระภาค แล้วทูลพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ โทษล่วงเกินได้ต้องข้าพระองค์แล้ว ผู้มีอาการโง่เขลา ไม่ฉลาด ซึ่งข้าพระองค์ได้สำคัญถ้อยคำที่เรียกพระผู้มีพระภาคด้วยวาทะว่า ดูกร ท่านผู้มีอายุ ขอพระผู้มีพระภาคจงรับอดโทษล่วงเกินแก่ข้าพระองค์ เพื่อจะสำรวมต่อไปเถิด

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

ดูกร ภิกษุ เอาเถอะ โทษล่วงเกินได้ต้องเธอผู้มีอาการโง่เขลา ไม่ฉลาด ซึ่งเธอได้สำคัญถ้อยคำที่เรียกเราด้วยวาทะว่า ดูกร ท่านผู้มีอายุ แต่เพราะเธอเห็นโทษล่วงเกินโดยความเป็นโทษ แล้วกระทำคืนตามธรรม เราขอรับอดโทษนั้นแก่เธอ

ดูกร ภิกษุ ก็ข้อที่บุคคลเห็นโทษล่วงเกิน โดยความเป็นโทษแล้ว กระทำคืนตามธรรม ถึงความสำรวมต่อไปได้ นั่นเป็นความเจริญในอริยวินัย

ไม่ว่าใครทำผิด ถ้าสำนึกแล้วก็แก้ตัว หรือว่ากระทำคืน คือ จะไม่ทำอย่างนั้นอีกต่อไป นั่นเป็นความเจริญในอริยวินัย ไม่ใช่ผิดก็ปล่อยให้ผิดต่อไป อย่างนั้นจะถึงความเจริญในอริยวินัยไม่ได้ ไม่ว่าจะผิดพลาดพลั้งไปในเรื่องใดๆ ก็ตาม แล้วรู้ว่าได้กระทำผิด ก็ไม่กระทำต่อไป แล้วกระทำสิ่งที่ถูก เริ่มสิ่งที่ถูกต่อไป นั่นย่อมถึงความเจริญในอริยวินัยได้

ท่านพระปุกกุสาติกราบทูลว่า

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอข้าพระองค์พึงได้อุปสมบทในสำนักของพระผู้มีพระภาคเถิด

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

ดูกร ภิกษุ ก็บาตรจีวรของเธอครบแล้วหรือ

ท่านพระปุกกุสาติกราบทูลว่า

ยังไม่ครบพระพุทธเจ้าข้า

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

ดูกร ภิกษุ ตถาคตทั้งหลายจะให้กุลบุตรผู้มีบาตรและจีวรยังไม่ครบอุปสมบทไม่ได้เลย

ลำดับนั้น ท่านปุกกุสาติยินดี อนุโมทนาพระภาษิตของพระผู้มีพระภาคแล้ว ลุกจากอาสนะ ถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาค กระทำประทักษิณแล้วหลีกไปหาบาตรจีวร ทันใดนั้นแล แม่โคได้ปลิดชีพท่านปุกกุสาติผู้กำลังเที่ยวหาบาตรจีวรอยู่ ต่อนั้น ภิกษุมากรูปด้วยกันได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคยังที่ประทับ แล้วถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาค นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง พอนั่งเรียบร้อยแล้วได้ทูลพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ กุลบุตรชื่อปุกกุสาติที่พระผู้มีพระภาคตรัสสอนด้วยพระโอวาทย่อๆ คนนั้นทำกาละเสียแล้ว เขาจะมีคติอย่างไร มีสัมปรายภพอย่างไร

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ปุกกุสาติกุลบุตรเป็นบัณฑิต ได้บรรลุธรรมสมควรแก่ธรรมแล้ว ทั้งไม่ให้เราลำบากเพราะเหตุแห่งธรรม

ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ปุกกุสาติกุลบุตรเป็นผู้เข้าถึงอุปาติกเทพ เพราะสิ้นสังโยชน์อันเป็นส่วนเบื้องต่ำ ๕ เป็นอันปรินิพพานในโลกนั้น มีความไม่กลับมาจากโลกนั้นอีกเป็นธรรมดา

พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระภาษิตนี้แล้ว ภิกษุเหล่านั้นต่างชื่นชมยินดีพระภาษิตของพระผู้มีพระภาค

โดยมากท่านผู้ฟังเข้าใจว่า ขณะที่กำลังพูด หรือขณะที่ฟังรู้เรื่องนั้น เจริญสติปัฏฐานไม่ได้ ถ้าท่านเข้าใจอย่างนั้น นั่นเป็นความเข้าใจของท่านเอง หรือว่าตรงกับพระธรรมวินัย ในพระสูตร ในพระวินัย ในพระอภิธรรมที่ได้ทรงแสดงไว้

เพราะฉะนั้น สำหรับเรื่องของท่านปุกกุสาตินี้ ก็เป็นตัวอย่างหนึ่งให้เห็นว่า การรู้แจ้งอริยสัจธรรมนั้นเป็นปกติธรรมดา ขณะไหนก็ได้ ขณะที่กำลังเดินหาบาตรหาจีวรก็ได้ ขณะที่กำลังถูกโคขวิดก็ได้

เพื่อที่จะให้ท่านผู้ฟังได้เข้าใจชัดเจนขึ้น ขอกล่าวถึง สังยุตตนิกาย นิทานวรรค จตุตถวรรคที่ ๔ ในปุพพสูตร (ข้อ ๔๐๔) มีข้อความว่า

ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคประทับที่พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ตราบเท่าที่เรายังไม่ได้ทราบชัดตามความเป็นจริงซึ่งความแช่มชื่นโดยความเป็นความแช่มชื่น ซึ่งโทษโดยความเป็นโทษ ซึ่งเครื่องสลัดออก โดยความเป็นเครื่องสลัดออกแห่งธาตุเหล่านี้เพียงใด เราก็ปฏิญาณไม่ได้ว่า เราเป็นผู้ได้ตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณในโลก พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดา และมนุษย์เพียงนั้น แต่เมื่อใดเราได้ทราบชัดตามความเป็นจริงซึ่งความแช่มชื่นโดยเป็นความแช่มชื่น ซึ่งโทษโดยความเป็นโทษ ซึ่งเครื่องสลัดออกโดยความเป็นเครื่องสลัดออกแห่งธาตุ ๔ เหล่านี้ เมื่อนั้นเราจึงปฏิญาณได้ว่า เป็นผู้ได้ตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณในโลก พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดา และมนุษย์

อนึ่ง ญาณทัสสนะได้เกิดขึ้นแก่เราว่า วิมุตติของเราไม่กำเริบ ชาตินี้เป็นชาติที่สุด บัดนี้การเกิดอีกย่อมไม่มี ดังนี้

แม้พระผู้มีพระภาคเองยังตรัสว่า ตราบเท่าที่พระองค์ยังไม่ได้ทราบชัดตามความเป็นจริงซึ่งความแช่มชื่นโดยเป็นความแช่มชื่น ซึ่งโทษโดยความเป็นโทษ ซึ่งเครื่องสลัดออกโดยความเป็นเครื่องสลัดออกแห่งธาตุเหล่านี้ คือ ธาตุทั้ง ๔ เพียงใด พระองค์ก็ปฏิญาณไม่ได้ว่า เป็นผู้ได้ตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณในโลก

เวลาที่กระทบสัมผัสเย็นบ้าง ร้อนบ้าง อ่อนบ้าง แข็งบ้าง ไม่สามารถที่จะละ การยึดถือนามรูปทั้งปวงว่า เป็นตัวตนได้ สติจะต้องเพิ่มขึ้น เจริญขึ้น รู้ชัดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นความสุขที่เกิดจากธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม หรือว่าความทุกข์ที่เกิดจากธาตุดิน น้ำ ไฟ ลมก็ตาม ผู้ที่เจริญสติจะต้องรู้ชัดในนามในรูป แล้วก็รู้วิธีที่จะละคลายการยึดถือมั่นในนามรูปด้วย


หมายเลข  5592
ปรับปรุง  30 ก.ย. 2565