แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 1229

สนทนาธรรมที่ป้อมอัครา นครอัครา ที่สังกัสสะ ประเทศอินเดีย

วันที่ ๑๗ - ๑๘ เมษายน ๒๕๒๖


. ที่เป็นวิปัสสนาญาณ ปัญญารู้ความแตกต่างของนามรูป หลังจากภวังคจิตเกิดแล้ว ใช่ไหม

สุ เวลานี้มโนทวารก็เกิด แต่ไม่รู้เลย เพราะว่าทางปัญจทวารต่อ เป็นปัญจทวารไปเรื่อยๆ ไม่ให้ช่องที่ปัญญาจะรู้ว่าขณะไหนเป็นการรู้ทางปัญจทวาร ขณะไหนเป็นการรู้ทางมโนทวาร ถูกไหม

ถ. หมายความว่า ทางปัญจทวารเกิดขึ้นเรื่อยๆ ใช่ไหม

สุ ทางตานี่ก็เห็น ไม่รู้ว่าทางมโนทวารเข้ามาแทรกเมื่อไหร่ ถูกไหม เพราะฉะนั้น จึงไม่ใช่วิปัสสนาญาณ วิปัสสนาญาณต้องตรงกันข้าม คือ มโนทวารปรากฏให้รู้ว่า นี่คือลักษณะของนาม นี่คือลักษณะของรูป เป็นการประจักษ์แจ้ง ชนิดที่ไม่ไปพยายามทำให้รู้ แต่ลักษณะของสภาพธรรมปรากฏแก่ปัญญาที่ได้อบรมแล้วตามความเป็นจริง ถ้าปัญญายังไม่ได้อบรม จะรู้อย่างนี้ไม่ได้

ถ. ถ้าไม่ได้อบรมมา ก็ไม่มีโอกาสที่จะเกิดเลย ใช่ไหม

สุ. แน่นอน

ถ. ก็ไปเกิดทางปัญจทวารอีก ใช่ไหม

สุ. ตลอดเวลา เป็นอย่างนี้ เหมือนอย่างนี้

. ถ้ามีความรู้แล้ว จะเกิดใหม่เป็นครั้งที่ ๒ อีก ก็ได้ ใช่ไหม

สุ. แปลว่าอะไร ครั้งที่ ๒ ไม่เข้าใจ

. คือ อาจารย์บอกว่า เมื่อปัญจทวารเกิดแล้ว …

สุ. มโนทวารวิถีชุดแรกที่เกิดต่อทางปัญจทวารวิถีทวารหนึ่งทวารใด มีอะไรเป็นอารมณ์ เช่น ทางหู ปัญจทวาราวัชชนจิตดับ โสตวิญญาณดับ สัมปฏิจฉันนจิตดับ สันตีรณจิตดับ โวฏฐัพพนจิตดับ ชวนจิตดับ ตทาลัมพนจิตดับ ภวังคจิตดับ มโนทวาราวัชชนจิตแรก ขณะแรกของทางมโนทวารวิถีมีอะไรเป็นอารมณ์ ก็ต้องมีเสียงเหมือนอย่างที่โสตทวารวิถีจิตเพิ่งได้ยินนั่นแหละเป็นอารมณ์

. สำหรับผมยังไม่เคยเกิดเลย ใช่ไหม

สุ. ทุกคนเหมือนกันหมด ไม่มีใครไปยับยั้งได้ ไม่อย่างนั้นเราจะรู้ได้อย่างไรว่าเสียงอะไร เพียงแค่โสตวิญญาณเกิดได้ยินเสียงแล้วดับไป เราจะรู้ได้อย่างไรว่า เสียงนั้นมีความหมายว่าอย่างไร ถ้ามโนทวารวิถีจิตไม่เกิดขึ้นรับรู้เสียงนั้นต่อ

. ขณะที่เราพิจารณานั้นสั้นมาก จะบอกว่าพิจารณาได้อย่างไร

สุ. ก็อย่างที่คุณหมอสัญชัยถาม สติระลึกแล้วก็หมดไป ยังไม่ทันพิจารณา แต่ให้รู้ว่า ที่ว่าสติระลึกแล้วหมดไปโดยที่ยังไม่ทันได้พิจารณานั้น เมื่ออบรมเจริญปัญญาโดยการพิจารณา จะค่อยๆ สังเกตทีละเล็กทีละน้อย ในขณะที่ระลึกแล้วก็มีการสังเกตนิดหนึ่ง จนกว่าการสังเกตนั้นจะเป็นปัญญาที่รู้ชัด

. สำหรับผมเวลาที่สติเกิด รู้สึกว่า ถ้าเป็นเสียงก็ต้องเป็นเสียงที่นานๆ เช่น เสียงนกร้อง ก็ต้องร้องอยู่นานๆ ผมไม่เคยระลึกรู้พิจารณาเวลาที่มีอะไรมาร้องนิดหนึ่ง ผมไม่เคยเกิดสติเลย

สุ. ก็เป็นเรื่องของสติว่า เขาจะเกิดเมื่อไร ไม่เห็นจะต้องเดือดร้อนว่า เขาจะระลึกตอนสั้น ตอนยาว ก็ต้องอบรมไปเรื่อยๆ จนกว่าจะทั่ว

. จะเป็นเสียงก็ดี กลิ่นก็ดี จะว่าเกิดง่ายก็ไม่เชิง

สุ. อย่างไรก็ตามเป็นเรื่องอบรมจนกว่าปัญญาจะรู้ชัด ถ้าปัญญายังไม่รู้ชัด ก็อบรมไปเรื่อยๆ

. จะว่าไม่คอย ก็ไม่เชิง

สุ ไม่สนใจว่าค่อยๆ รู้เป็นอย่างไร เริ่มรู้เป็นอย่างไร คิดถึงแต่ตอนที่จะ รู้แจ้ง รู้ชัด

แต่ถ้าสนใจตอนที่กำลังเริ่ม กำลังค่อยๆ รู้นี้ว่าเป็นอย่างไร จะเป็นการ ก้าวไปตามลำดับของการอบรมเจริญปัญญาจริงๆ เพราะถ้าไม่รู้ว่า ค่อยๆ เกิด ค่อยๆ เริ่มเป็นอย่างไร ไม่มีทางที่จะถึงความรู้ชัด รู้แจ้ง

. สมมติว่า เขาพูดกัน แต่ก่อนนี้สติเกิดขึ้นก็ยังไปถึงว่าเขาพูดอะไร ตอนหลังผมรู้สึกไม่สนใจเลยว่าเขาพูดอะไร เวลาสติเกิดมีแต่เสียงงึมงัม

สุ. เราอย่าไปเอาอย่างนั้น ไม่ต้องอะไรเลย ให้รู้จริงๆ ในลักษณะของนามธรรม ไปศึกษาลักษณะที่เป็นนามธรรม หรือศึกษาโดยสังเกต ค่อยๆ น้อมไปรู้ ในลักษณะของนามธรรมไม่จะเป็นนามธรรมอะไร หรือรูปธรรม ได้หมด

. … (ได้ยินไม่ชัด)

สุ. คุณธงชัยลองจับหญ้าสักเส้นหนึ่ง แข็งไหม มโนภาพอะไรปรากฏ ไม่เห็นมี

. อดที่จะคิดว่าเป็นเส้นๆ ไม่ได้

สุ. ไม่มีแต่แข็งล้วนๆ หรือ ลองจับอะไรก็ได้ กระทบนิดเดียว ยังไม่ทันถึงมโนภาพ ยังไม่ทันรู้เลยว่าสิ่งที่แข็งนั้นคืออะไร ถ้ามีคนเขาไม่ให้เรามอง ชั่วขณะที่กระทบนี้แทบจะไม่รู้ว่าเป็นอะไร ถ้าเราจะใส่ใจศึกษา คำว่า ศึกษา คือ สังเกต ในลักษณะที่เป็นรูปกับสภาพรู้ นี่เป็นสิ่งที่จะต้องรู้ ไม่ใช่มโนภาพ

. เราก็ต้องน้อมไปที่จะรู้

สุ. แน่นอน ขณะนั้นคือวิริยะ ขณะนั้นเป็นปัญญา ขณะนั้นเป็นทุกอย่างที่กำลังจะเผาความไม่รู้ในสิ่งที่กำลังปรากฏ

. ผมมักจะลองเวลาที่สติเกิดว่า นี่เป็นรูปหรือเป็นนาม

สุ. ก็แปลว่า ขณะนั้นมีสภาพคิดนึก ซึ่งสติยังได้ระลึกว่ากำลังคิด ขณะนั้นเป็นนามธรรม คือ คิด เพราะฉะนั้น กว่าจะทั่ว ก็ต้องค่อยๆ ระลึกไปเรื่อยๆ

. อย่างเราสัมผัสตัวเราเอง มือกับแขน ถ้าร้อนเป็นอารมณ์ ความร้อนนี้ไม่เท่ากันระหว่างมือกับแขน ถ้าฝ่ายใดร้อนมาก อีกฝ่ายหนึ่งจะเป็นเย็นไป ฝ่ายใดเย็นอีกฝ่ายหนึ่งจะเป็นร้อนไป อย่างนี้จะคิดนึกมากไปไหม

สุ. มาก เพราะที่จริงขณะนั้นคุณธงชัยต้องรู้ลักษณะที่ร้อน เพื่อที่จะละความเป็นแขนหรือมือที่จะเอามาเทียบกัน ตราบใดที่ยังเทียบ ก็เป็นแขนของเรา มือของเรา

. เป็นการพิสูจน์ว่า จิตเกิดขึ้นทีละขณะ ทีละแห่ง

สุ. พิสูจน์โดยการคิด แต่ไม่ใช่พิสูจน์โดยความไม่มีตัวตน

. ไม่ใช่พิสูจน์โดยการคิด แต่พิสูจน์จริงๆ ว่า ...

สุ. ก็พิสูจน์ว่า อันนี้เป็นมือ อันนั้นเป็นแขน นั่นคิด อันนี้เย็นกว่า อันนั้นร้อนกว่า นั่นก็คิด ไม่ได้พิสูจน์ความเป็นอนัตตา แต่พิสูจน์ความร้อนของแขนกับมือ ความเป็นตัวตนกำลังพิสูจน์ในขณะนั้น

. แต่เป็นความรู้อย่างหนึ่ง

สุ. แต่ความรู้นั้นไม่ได้ละ เพราะฉะนั้น จตุธาตุววัฏฐานจึงเป็นสมถภาวนา เพราะไม่ได้ละตัวตน

. อาจเป็นปัญญาอย่างหนึ่ง

สุ. เป็นปัญญาอย่างหนึ่ง พอใจปัญญาขั้นนี้ ก็อยู่ตรงปัญญาขั้นนี้ ไม่อย่างนั้นพวกสมถะเขาจะอยู่ตรงสมถะทำไม ก็เพราะเขาพอใจความสงบของสมถะ ปัญญาของสมถะ ถ้าไม่มีปัญญาความสงบขั้นสมถะก็เกิดไม่ได้ เจริญไม่ได้ แต่ทำไมเขาจึงหยุดแค่นั้น เพราะเขาพอใจปัญญาขั้นนั้น ความสงบขั้นนั้น

สนทนาธรรมวันที่ ๑๘ เมษายน ๒๕๒๖ ที่สังกัสสะ

สถานที่ที่พระผู้มีพระภาคเสด็จลงจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์หลังจากที่ทรงแสดงธรรมโปรดพระพุทธมารดา

สุ. เป็นการระลึกถึงพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ เราถึงมา ใช่ไหม เพราะฉะนั้น เวลาที่เราเห็น ก็น้อมระลึกถึง ไม่ว่าจะที่ตรงไหนในบริเวณนี้ ซึ่งไม่มีใครสามารถบอกจุดที่แท้จริงได้ว่า ตรงไหนที่เสด็จลง แต่ก็ ณ ที่นี้ ถึงแม้ นักโบราณคดีเองก็ไม่มีหลักฐานอะไรพอที่จะบอกได้ เพราะในสมัยโน้นไม่ได้สร้างหลักฐานไว้ แต่เมื่อแน่ใจว่าตรงนี้เป็นที่ที่เสด็จลง ก็น้อมระลึกถึง หลังจากที่เสด็จกลับจากทรงแสดงธรรมโปรดพระพุทธมารดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์

. ทรงแสดงพระอภิธรรมกับพระพุทธมารดา ใช่ไหม

สุ. และในระหว่างทรงแสดงพระอภิธรรม สลับด้วยมหาสติปัฏฐาน ถ้าแสดงพระอภิธรรม ไม่แสดงการเจสติปัฏฐาน ก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลย ถูกไหม เป็นการแสดงเรื่อง แต่เมื่อแสดงอภิธรรมและแสดงสติปัฏฐานด้วย ก็เป็นการพิสูจน์พระธรรมที่ทรงแสดงทันที เพราะฉะนั้น ผู้ฟังที่เข้าใจ ในขณะที่กำลังฟังนั้นเองก็อบรมเจริญสติ หรือสติก็เจริญด้วย

ทรงแสดงเรื่องการเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น การลิ้มรส การรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส การคิดนึก คือ ปกติในขณะนี้เอง ไม่ว่าจะเป็น ๒๕๐๐ กว่าปี หรือจะต่อไปอีกสักเท่าไร พระธรรมที่ทรงแสดงก็เป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้ คือ เรื่องของตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ซึ่งผู้ฟังในครั้งโน้นก็ไม่ต่างกับในครั้งนี้เลย เพราะผู้ที่จะฟังก็มีตา มีหู มีจมูก มีลิ้น มีกาย มีใจ ไม่ว่าจะเป็นท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ท่านมหาอุบาสิกาวิสาขา หรือใคร ก็ตาม ไม่มีความต่างกันในเรื่องของนามธรรมและรูปธรรม เพราะฉะนั้น พระธรรมที่ทรงแสดงก็ทรงแสดงแม้กับบุคคลในครั้งนั้น และในครั้งนี้ และต่อๆ ไป

. ก่อนจะไปที่ปฐมเทศนา ขอให้อาจารย์อธิบายพระธรรมย่อๆ เพื่อให้เข้าใจ

สุ. สติปัฏฐานนั่นเอง ไม่พ้นเลย พระธรรมทั้งหมดเมื่อย่อลงแล้ว ได้แก่ สิ่งที่มีจริง คือ กายในขณะนี้ เป็นที่ตั้งของสติ ให้สติระลึกได้ คือ เตือนในขณะที่กำลังฟังนั่นเอง

มหาสติปัฏฐานทุกข้อ ทุกพยัญชนะ เตือนผู้ฟังในขณะที่กำลังฟัง เวลาที่ทรงเทศนาเรื่องของกาย ขณะนี้มีกายที่กำลังปรากฏ เพราะฉะนั้น ระลึกได้ พิสูจน์ได้ว่า กายนี้ประกอบด้วยมหาภูตรูป เจริญเติบโตขึ้นเพราะขนมกุมมาส ขนมสดที่เราเพิ่งรับประทานมาเมื่อกี้เป็นส่วนที่ทำให้กาย คือ มหาภูตรูปนี้ เจริญขึ้น เพราะฉะนั้น ให้เห็นความจริงว่า ที่เคยเห็น หรือที่เคยถือว่าเป็นกาย ถ้าสติระลึกส่วนหนึ่งส่วนใด มหาภูตรูปก็ปรากฏ อ่อนหรือแข็ง เย็นหรือร้อน ตึงหรือไหว ชั่วขณะ แต่เพราะปัญญายังอ่อน ก็ไม่สามารถละการยึดถือว่าเป็นตัวตนได้ ซึ่งการที่จะละการยึดถือความเป็นตัวตน ไม่ใช่จะไปนึกละขึ้นมาเองโดยไม่รู้ลักษณะของกายที่กำลังปรากฏ เพราะฉะนั้น ในขณะนี้ ส่วนใดของกายที่ปรากฏ ส่วนนั้นเป็นสิ่งที่ควรระลึก และเมื่อระลึกแล้ว ก็ควรสังเกตที่จะรู้ลักษณะที่ต่างกันของนามธรรมและรูปธรรม

นี่เป็นชีวิตปกติธรรมดาจริงๆ ทุกสมัย ไม่ว่าจะทรงแสดงบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ หรือว่าในมนุษย์ หรือว่าในพรหมโลก

นอกจากกาย ก็มีเวทนา ความรู้สึก ขณะนี้ก็มีเวทนาขันธ์ ถ้าไม่ระลึก ก็ผ่านไปทั้งหมดทุกขณะด้วยความไมรู้เหมือนเดิมในสังสารวัฏฏ์

เพราะฉะนั้น ที่สติและปัญญาจะเจริญ ก็เพราะไม่ละเลยการสังเกต ศึกษาลักษณะของความรู้สึกด้วย เพราะว่าเวลาที่ความรู้สึกประเภทหนึ่งประเภทใดเกิดแล้วและผ่านไป ต้องเป็นเราเสมอทุกครั้ง ซึ่งความรู้สึกนั้นก็ไม่เที่ยง หมดไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกอะไรทั้งสิ้น

ทั้งกาย ทั้งเวทนา ทั้งจิต ทั้งธรรมทุกประเภท เกิดขึ้นแล้วดับไปทันที เร็วมาก แต่ความยึดถือไม่ได้พิจารณาเลยว่า ขณะเมื่อกี้ ก่อนที่เราจะขึ้นมานี้ก็หมดไปแล้ว และทุกๆ ขณะ ในขณะที่กำลังได้ยินทีละคำก็กำลังหมดไป ความรู้สึกแต่ละชนิด ก็กำลังปรากฏและหมดไป เสียงที่ปรากฏก็หมดไป นี่คือทุกๆ ขณะที่เป็นอนิจจังจริงๆ และเมื่อหมดไปแล้วจะกลับคืนมาไม่ได้เลย จะไปแสวงหาที่ไหนๆ ก็ไม่ได้ หมดจริงๆ

เมื่อสภาพธรรมอื่นเกิดต่อ ก็ลืมไปว่า เมื่อกี้หมดแล้ว อนิจจังก็ไม่เป็นไร เพราะว่าของใหม่กำลังมี และขณะนี้ที่กำลังมีหมดไปก็ไม่เป็นไร เพราะมีขณะอื่นเกิดสืบต่อทันที ดูไม่น่าตกใจ เพราะไม่เห็นความขาดสูญของขณะเมื่อครู่นี้จริงๆ ตราบใดที่ยังมีสิ่งที่เกิดขึ้นสืบต่ออยู่เรื่อยๆ

. เวทนา ทำไมต้องไประลึกถึง ทำไมต้องรู้จัก

สุ. ต้องรู้จัก เพราะทุกคนอยากจะมีแต่สุขเวทนา

. ลืมเสีย ให้ผ่านไป

สุ. ลืมเสีย จะให้มีแต่สุขเวทนาอย่างเดียวก็ไม่ได้ อยากมีแต่สุขเวทนา แต่ทุกขเวทนาก็มี อุเบกขาเวทนาก็มี

. เวลาทุกขเวทนาเกิด เราก็หลับหูหลับตา

สุ. ทางกาย เราจะหลับหูหลับตาได้ไหม กำลังเจ็บปวดเหลือเกิน หลับหูหลับตาไม่ต้องไปโรงพยาบาล ไม่ต้องกินยา ไม่ต้องแก้ไขได้ไหม ทางกาย

. ก็ไม่ได้ คิดว่าไม่ต้องระลึกถึง ลืมๆ ไปเสีย

สุ. ลืม แต่สภาพธรรมก็มีปรากฏให้รู้ ถ้าจะให้ลืมจริงๆ จะสู้ให้หมดไม่เกิด ให้รู้เลยไม่ดีกว่าหรือ เพราะว่าลืมนี่ชั่วขณะ ชั่วคราวที่ลืม และหวนระลึกได้อีก จำได้อีก ไม่มีวันจบ แต่ถ้าไม่มีจิต เจตสิก รูป ไม่มีสภาพธรรมเกิดขึ้นเลยที่จะให้ลืม คือ ลืมสนิทที่สุด ไม่ต้องมีการจดจำใดๆ ทั้งสิ้น ย่อมต้องดีกว่าทำเป็นลืม ใช่ไหม

ทำเป็นลืมนี่ ลืมไม่จริง เพราะฉะนั้น แทนที่จะทำเป็นลืม หรือลืมไม่จริง ก็ ดับเวทนาทั้งหมด นี่จึงจะเป็นความสงบ หรือความสุขที่แท้จริง เพราะไม่มีความรู้สึกใดๆ ที่จะเกิดขึ้นเป็นที่พอใจอีกต่อไป

เพราะฉะนั้น ทุกคนอาจจะหาวิธีต่างๆ ที่จะมีความสุขในวันหนึ่งๆ ตามความพอใจ แต่วิธีทั้งหมดไม่ใช่วิธีที่แน่นอน ที่จะให้มีความสุขตามความพอใจได้ เพราะไม่ใช่วิธีของผู้ที่ทรงตรัสรู้ ซึ่งทรงรู้แจ้งสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความ เป็นจริงทุกอย่าง

. ในกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน คำว่า กายที่ปรากฏ หมายความว่า ปรากฏเฉพาะที่ หมายความว่า กายปรากฏทางกาย ใช่ไหม

สุ. ที่ชื่อว่ากาย ก็คือส่วนที่เคยยึดถือว่าเป็นร่างกาย เพราะฉะนั้น ส่วนที่ยึดถือว่าเป็นร่างกายจะปรากฏทางไหน

. ก็ปรากฏทางทวารต่างๆ ใช่ไหม เช่น ทางกาย ทางสัมผัส

สุ. ทางกาย ส่วนที่เราเคยยึดถือว่าเป็นร่างกาย ปรากฏเมื่อกระทบ ตรงที่กระทบเท่านั้นที่ปรากฏ ตรงอื่นอย่าหลอกตัวเองว่ามีในเมื่อไม่ปรากฏ เพราะฉะนั้น ถ้าทุกคนกำลังกระทบส่วนหนึ่งส่วนใดที่แข็ง ไม่ใช่ตลอดทั้งตัวแข็ง ใช่ไหม ขณะนี้พิสูจน์ธรรมได้ ตลอดทั้งตัวแข็ง หรือแข็งเฉพาะส่วนหนึ่งส่วนใดที่ปรากฏ

เพราะฉะนั้น ส่วนที่กำลังปรากฏ คือ ส่วนที่มีจริง ที่ยังไม่ดับ จึงได้ปรากฏ แต่ส่วนอื่น เกิดแล้วดับแล้วทั้งหมด ไม่ต้องไปจำไว้ ไม่ต้องคิดถึง เพราะถ้ายังจำว่า เรายังมีส่วนอื่นอยู่ทั้งๆ ที่ไม่ปรากฏ แสดงว่าความเป็นตัวตนของเรายังเต็มที่ คือ ยังจำไว้ทั้งหมดทั้งตัว

สิ่งที่จะมีจริงๆ ต้องเมื่อกำลังปรากฏจริงๆ ส่วนที่ไม่ปรากฏทั้งหมด เกิดแล้ว ดับแล้วทันทีอย่างรวดเร็ว

เพราะฉะนั้น เมื่อย่อส่วนของกายซึ่งเคยเป็นศีรษะ เคยเป็นมือ เคยเป็นเท้า ตลอดทั้งตัว มาเหลืออยู่ตรงเฉพาะส่วนแข็งที่กำลังปรากฏลักษณะจริงๆ ส่วนหนึ่ง ส่วนใด ความเป็นอัตตสัญญาจึงจะค่อยๆ หมดไปได้ เพราะว่าส่วนอื่นไม่มีให้ทรงจำไว้ และแข็งตรงนั้นเท่านั้นที่กำลังปรากฏชั่วขณะนั้น จึงจะไม่เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดเลย

นี่คือการที่จะคลายอัตตสัญญา และค่อยๆ เพิ่มอนัตตสัญญาขึ้น เพราะว่าชั่วขณะจิตเดียว ถ้ายังจำส่วนอื่นไว้อยู่ ไม่มีทางที่จะละความเป็นตัวตนได้

. ทางกายทวาร พอจะพิจารณาเห็นความไม่มีตัวตน ถึงแม้ว่าจะคิดบ้าง แต่ทางจักขุทวารยังมองเห็นเป็นรูปเป็นร่าง

สุ. นี่ก็คืออัตตสัญญาอีก ทางจักขุทวาร คือ ทางตาที่กำลังเห็น ดิฉันเคยเรียนให้ทราบหลายครั้งว่า เวลาที่เราอ่านหนังสือพิมพ์ มีแต่เส้น เส้นเล็ก เส้นใหญ่ สีดำ สีขาวเท่านั้น แต่ออกมาเป็นเรื่องประเทศอเมริกา เป็นประธานาธิบดี เป็นบุคคลมากมายจากเส้นดำๆ ที่ปรากฏบนกระดาษขาว ใช่ไหม ฉันใด นี่ก็กำลังเป็นเส้นที่กำลังปรากฏทางตา แต่แทนที่เราจะเห็นกระดาษหนังสือพิมพ์ เวลานี้ก็กำลังเป็นอย่างนั้น กำลังมีเส้นปรากฏให้เราถือว่าเป็นคนนั้นคนนี้ กำลังนั่งอยู่ที่นั่นที่นี่ ไม่ผิดกันเลย ถ้าทางตาแล้วต้องเห็น และนึกถึงรูปร่างสัณฐาน คือ เส้นต่างๆ ถ้าไม่มีเส้นต่างๆ ที่ตัดกันให้นึกถึงในหนังสือพิมพ์ ขณะนี้ก็ไม่ต้องมีเส้นมาตัดกันให้นึกถึงว่า เป็น คุณกุลิน คุณโสภา หรือคุณธงชัย ใช่ไหม แต่เพราะทุกอย่างที่ปรากฏทางตา มีขอบเขต มีเส้นต่างๆ ซึ่งทำให้เป็นรูปร่างต่างๆ สัณฐานต่างๆ เหมือนในหนังสือพิมพ์ ซึ่งทำให้ปรากฏออกมาเป็นเรื่อง เป็นคนต่างๆ เพราะฉะนั้น ขณะนี้แท้จริงแล้ว สิ่งที่กำลังปรากฏทางตา เป็นสิ่งที่คนตาบอดไม่เห็น เท่านั้นเอง เพราะว่าคนตาบอดกระทบสัมผัสมีอ่อนแข็ง คนตาดีเวลากระทบสัมผัสก็มีอ่อนแข็งเหมือนคน ตาบอดสัมผัส แต่คนตาดีติดในสัณฐาน เพราะว่ามีการเห็น ซึ่งเสมือนกับว่าไม่ดับเลยในขณะนี้ เพราะฉะนั้น ทางตาจึงบอกว่า ยากที่จะรู้ เพราะว่าทางหูปรากฏนิดเดียวดับ ทางจมูกปรากฏนิดเดียวดับ แต่ทางตาทั้งๆ ที่เกิดดับอยู่ ก็ไม่ปรากฏความเกิดดับ จึงยิ่งทำให้ทรงจำส่วนสัดต่างๆ ยึดถือว่ากำลังเห็นคนนั้นคนนี้

. เราทรงจำไว้ ก็เหมือนกับเรามองหนังสือจีน สมมติว่าผมมองคุณศุกล รูปร่างอย่างนี้ ผมอ่านออกมาว่าเป็นคุณศุกล

สุ. หนังสืออะไรได้หมด หนังสือไทย หนังสืออังกฤษได้ทั้งนั้น ทุกอย่างที่ทำให้เกิดความคิดขึ้นทางตา

เปิด  161
ปรับปรุง  19 ต.ค. 2566