แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 214

เพราะฉะนั้น ไม่ใช่ว่าการให้ทานจะนำมาเพียงแค่โภคสมบัติอย่างเดียว ถ้าเป็นผลของทานที่เกิดบนสวรรค์ ก็มีรูปร่างที่งดงามมากกว่าในเมืองมนุษย์ นั่นเป็นผลของทานได้ หรือแม้แต่การที่เกิดเป็นมนุษย์ มีรูปร่างน่าเลื่อมใส นั่นก็เป็นผลของทานได้ ไม่ใช่จำกัดว่า เรื่องของทานให้ผลเพียงแค่โภคสมบัติเท่านั้น แต่ว่าข้อความบางตอนในพระไตรปิฎก อาจจะทำให้ท่านผู้ฟังเกิดความเข้าใจเช่นนั้น และเกิดความสงสัยว่า ทานให้ผลเพียงโภคสมบัติเท่านั้นก็เป็นได้

เช่น ข้อความใน อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต มหาวรรค มีว่า

สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ครั้งนั้นแล พระนางมัลลิกาเทวีเสด็จเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ทรงถวายอภิวาทแล้วประทับนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อะไรหนอเป็นเหตุ เป็นปัจจัยให้มาตุคามบางคนในโลกนี้มีผิวพรรณทราม รูปชั่ว ไม่น่าดู ยากจน ขัดสนทรัพย์สมบัติ และต่ำศักดิ์

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อะไรหนอเป็นเหตุ เป็นปัจจัยให้มาตุคามบางคนในโลกนี้ มีผิวพรรณทราม รูปชั่ว ไม่น่าดู แต่เป็นคนมั่งคั่ง มีทรัพย์มาก มีโภคสมบัติมาก และสูงศักดิ์

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อะไรหนอเป็นเหตุ เป็นปัจจัยให้มาตุคามบางคนในโลกนี้ มีรูปงาม น่าดู น่าชม ประกอบด้วยความเป็นผู้มีผิวพรรณอันงามยิ่งนัก แต่เป็นคนยากจน ขัดสนทรัพย์สมบัติ และต่ำศักดิ์

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อะไรหนอเป็นเหตุ เป็นปัจจัยให้มาตุคามบางคนในโลกนี้ มีรูปงาม น่าดูน่าเลื่อมใส ประกอบด้วยความเป็นผู้มีผิวพรรณงามยิ่งนัก ทั้งเป็นผู้มั่งคั่ง มีทรัพย์มาก มีโภคสมบัติมากและสูงศักดิ์

ในครั้งนั้นที่พระผู้มีพระภาคยังไม่ปรินิพพาน เวลาที่ท่านผู้ใดมีข้อสงสัยประการใดในสภาพของธรรม ในเหตุและในผล ก็ยังมีโอกาสที่จะได้ไปเฝ้าและก็กราบทูลถาม เพราะเหตุว่าถ้าเป็นเรื่องของปัจจัยในอดีตที่เนิ่นนานมา ก็ไม่มีผู้ใดสามารถทราบได้ แต่เพราะพระผู้มีพระภาคทรงเป็นพระสัพพัญญู จึงทรงสามารถชี้เหตุกับผลให้เข้าใจชัดเจนได้ว่า ผลเช่นนี้เป็นเพราะเหตุอะไร ซึ่งผลเช่นนี้ก็ไม่ได้มีแต่เฉพาะในครั้งนั้น ในครั้งนี้ก็มี และในครั้งต่อๆ ไป ก็คงจะเป็นเช่นนี้ด้วย

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

ดูกร พระนางมัลลิกา มาตุคามบางคนในโลกนี้เป็นผู้มักโกรธ มากไปด้วยความแค้นใจ ถูกว่าแม้เล็กน้อยก็ขัดเคือง ฉุนเฉียว กระฟัดกระเฟียด กระด้างกระเดื่องแสดงความโกรธ ความขัดเคือง และความไม่พอใจให้ปรากฏ ไม่เป็นผู้ให้ทาน คือ ข้าว น้ำ ยวดยาน ระเบียบดอกไม้ ของหอม เครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่อยู่อาศัย และประทีปโคมไฟแก่สมณะหรือพราหมณ์ และเป็นผู้มีใจริษยาในลาภ สักการะ ความเคารพ ความนับถือ การไหว้และการบูชาของผู้อื่น เกียดกัน ตัดรอน ผูกความริษยา ถ้ามาตุคามนั้นจุติจากอัตภาพนั้นมาสู่ความเป็นอย่างนี้ กลับมาเกิดในชาติใดๆ ย่อมเป็นผู้มีผิวพรรณทราม รูปชั่ว ไม่น่าดู ทั้งเป็นคนยากจน ขัดสนทรัพย์สมบัติ และต่ำศักดิ์

การมีรูปชั่ว ขัดสน และต่ำศักดิ์ เป็นผลของอกุศล มากไปด้วยความแค้นใจ เป็นผู้มักโกรธ ถูกว่าแม้เล็กน้อยก็ขัดเคือง ฉุนเฉียว กระฟัดกระเฟียด กระด้างกระเดื่อง นี่เป็นอกุศลจิตทั้งนั้น เพราะฉะนั้น ผลที่ได้รับที่เป็นผู้มีผิวพรรณทราม รูปชั่ว ไม่น่าดู ทั้งเป็นคนยากจน ขัดสนทรัพย์สมบัติ และต่ำศักดิ์ นี่ไม่ใช่ผลของกุศล

ข้อความต่อไป

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

ดูกร พระนางมัลลิกา มาตุคามบางคนในโลกนี้เป็นผู้มักโกรธ มากไปด้วยความแค้นใจ ถูกว่าแม้เล็กน้อยก็ขัดเคือง ฉุนเฉียว กระฟัดกระเฟียด กระด้างกระเดื่อง แสดงความโกรธ ความขัดเคือง และความไม่พอใจให้ปรากฏ แต่เขาเป็นผู้ให้ทาน คือ ข้าว น้ำ ผ้า ยวดยาน ระเบียบดอกไม้ ของหอม เครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่อยู่อาศัย และประทีปโคมไฟแก่สมณะหรือพราหมณ์ และไม่เป็นผู้ที่มีใจริษยาในลาภ สักการะ ความเคารพ ความนับถือ การไหว้และการบูชาของผู้อื่น ไม่เกียดกัน ไม่ตัดรอน ไม่ผูกความริษยา ถ้ามาตุคามนั้นจุติจากอัตภาพนั้นมาสู่ความเป็นอย่างนี้ กลับมาเกิดในชาติใดๆ ย่อมเป็นผู้มีผิวพรรณทราม รูปชั่ว ไม่น่าดู แต่เป็นคนมั่งคั่ง มีทรัพย์มาก มีโภคสมบัติมาก และสูงศักดิ์

การที่เป็นผู้ที่มีทรัพย์มาก มีโภคสมบัติมาก และสูงศักดิ์ นั่นเป็นผลของทาน เป็นผลของกุศล แต่ที่มีผิวพรรณทราม รูปชั่ว ไม่น่าดู นั่นเป็นผลของอกุศล คือ เป็นผู้ที่มักโกรธ มากไปด้วยความแค้นใจ ซึ่งปัจจุบันนี้ท่านก็เห็นผลของกรรมที่ได้กระทำแล้ว ไม่ว่าจะเป็นในโภคสมบัติ ในรูปสมบัติก็ตาม ก็แสดงให้เห็นถึงจิตใจในอดีต ให้เห็นถึงกรรมในอดีตที่ได้กระทำไว้ ถ้าเป็นผลของทานอย่างใหญ่ ก็ทำให้เป็นผู้ที่มีโภคสมบัติมาก แต่ว่าอกุศลจิตก็ยังมีอยู่

เพราะฉะนั้น การที่จะเกิดเป็นบุคคลใด ในตระกูลใด ล้วนเป็นผลมาจากกรรมเดียวที่เป็นชนกกรรม หมายความถึงเป็นกรรมที่ทำให้ปฏิสนธิจิตเกิดขึ้นในภพนั้น ในชาตินั้น แต่ว่ากรรมอื่นๆ ก็ยังสามารถตามมาอุปถัมภ์ หรือตามมาเบียดเบียน ตามมาตัดรอน เพราะว่าจิตที่เกิดแต่ละครั้งๆ จะเก็บสะสมปรุงแต่งให้มีรูปร่างผิวพรรณต่างๆ กันไป ตามผลของกุศลกรรมและอกุศลกรรม ถ้าเป็นเหตุที่ดี คือ กุศลกรรม ก็ต้องให้ผลที่ดี

พระผู้มีพระภาคตรัสต่อไปว่า

ดูกร พระนางมัลลิกา มาตุคามบางคนในโลกนี้ไม่เป็นผู้มักโกรธ ไม่มากไปด้วยความคับแค้นใจ ถูกว่าแม้มากก็ไม่ขัดเคือง ไม่ฉุนเฉียว ไม่กระฟัดกระเฟียด ไม่กระด้างกระเดื่อง ไม่แสดงความโกรธ ความขัดเคือง และความไม่พอใจให้ปรากฏ แต่เป็นผู้ไม่ให้ทาน คือ ข้าว น้ำ ผ้า ยวดยาน ระเบียบดอกไม้ ของหอม เครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่อยู่อาศัย และประทีปโคมไฟแก่สมณะหรือพราหมณ์ และเป็นผู้มีใจริษยาในลาภ สักการะ ความเคารพความนับถือ การไหว้ และการบูชาของผู้อื่น เกียดกัน ตัดรอน ผูกความริษยา ถ้ามาตุคามนั้นจุติจากอัตภาพนั้นแล้วมาสู่ความเป็นอย่างนี้ กลับมาเกิดในชาติใดๆ ย่อมเป็นผู้มีรูปงาม น่าดู น่าชม ประกอบด้วยความเป็นผู้มีผิวพรรณงามยิ่งนัก แต่เป็นคนเข็ญใจ ยากจน ขัดสน และต่ำศักดิ์

เป็นเรื่องที่ท่านจะเปรียบเทียบกับปัจจุบันชาติของท่านได้ว่า ท่านเป็นผู้ที่มักโกรธไหม ไม่มากด้วยความคับแค้นใจไหม หรือถูกว่าแม้มากก็ไม่ขัดเคืองใช่ไหม เป็นผู้ที่ไม่ฉุนเฉียว ไม่กระฟัดกระเฟียด ไม่กระด้างกระเดื่อง ก็จริง แต่ว่าเป็นผู้ไม่ให้ทาน

แต่ละคน ก็แต่ละอัธยาศัย ถึงแม้ว่าจะเป็นผู้ที่ไม่มักโกรธ ไม่ฉุนเฉียว แต่ไม่ให้ทาน นอกจากนั้น บางคนเป็นผู้ที่แม้ว่าจะไม่มักโกรธ แต่ไม่ให้ทาน และยังมีใจริษยาในลาภ ในสักการะ ในความเคารพ ความนับถือ การไหว้ และการบูชาของคนอื่น และบางครั้งก็ยังเกียดกัน ตัดรอน ผูกความริษยา เพราะฉะนั้น ผลก็คือ ถ้าบุคคลนั้นจุติจากอัตภาพนั้นแล้วมาสู่ความเป็นอย่างนี้ กลับมาเกิดในชาติใดๆ ย่อมเป็นผู้มีรูปงาม น่าดู น่าชม ซึ่งเป็นผลของความไม่โกรธ เป็นกุศล กุศลส่วนนั้นให้ผลอย่างนี้ ประกอบกับความเป็นผู้มีผิวพรรณงามยิ่งนัก แต่เป็นคนเข็ญใจ ยากจน ขัดสน และต่ำศักดิ์

ข้อความต่อไป

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

ดูกร พระนางมัลลิกา มาตุคามบางคนในโลกนี้ ไม่เป็นผู้มักโกรธ ไม่มากไปด้วยความคับแค้นใจ ถูกว่าแม้มากก็ไม่ขัดเคือง ไม่ฉุนเฉียว ไม่กระฟัดกระเฟียด ไม่กระด้างกระเดื่อง ไม่แสดงความโกรธ ความขัดเคือง และความไม่พอใจให้ปรากฏ เป็นผู้ให้ทาน คือ ข้าว น้ำ ผ้า ยวดยาน ระเบียบดอกไม้ ของหอม เครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่อยู่อาศัย และประทีปโคมไฟแก่สมณะหรือพราหมณ์ และถ้ามาตุคามนั้นจุติจากอัตภาพนั้นแล้วมาสู่ความเป็นอย่างนี้ กลับมาเกิดในชาติใดๆ ย่อมเป็นผู้มีรูปงาม น่าดู น่าชม ประกอบด้วยความเป็นผู้มีผิวพรรณงามยิ่งนัก ทั้งเป็นผู้มั่งคั่ง มีทรัพย์มาก มีโภคสมบัติมาก และสูงศักดิ์

ข้อความต่อไป

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

ดูกร พระนางมัลลิกา นี้แลเป็นเหตุ เป็นปัจจัยให้มาตุคามบางคนในโลกนี้มีผิวพรรณทราม รูปชั่ว ไม่น่าดู ทั้งเป็นคนเข็ญใจ ยากจนขัดสน และต่ำศักดิ์

อนึ่ง นี้เป็นเหตุ เป็นปัจจัยให้มาตุคามบางคนในโลกนี้มีผิวพรรณทราม รูปชั่ว ไม่น่าดู แต่เป็นผู้มั่งคั่ง มีทรัพย์มาก มีโภคสมบัติมาก และสูงศักดิ์

นี้แลเป็นเหตุ เป็นปัจจัยให้มาตุคามบางคนในโลกนี้มีรูปงาม น่าดู น่าชม ประกอบด้วยความเป็นผู้มีผิวพรรณงามยิ่งนัก แต่เป็นคนเข็ญใจ ยากจน ขัดสน และต่ำศักดิ์

อนึ่ง นี้เป็นเหตุ เป็นปัจจัยให้มาตุคามบางคนในโลกนี้มีรูปงาม น่าดู น่าชมประกอบด้วยความเป็นผู้มีผิวพรรณงามยิ่งนัก ทั้งเป็นผู้มั่งคั่ง มีทรัพย์มาก มีโภคสมบัติมาก และสูงศักดิ์

เป็นชีวิตจริงๆ ของทุกท่าน ซึ่งมีเหตุที่ได้กระทำไว้แล้วในอดีตเป็นปัจจัย พระธรรมที่ได้ทรงแสดงไว้ทั้งหมดตรงตามสภาพธรรมที่เป็นจริง เมื่อสภาพธรรมที่เป็นจริงปรากฏเป็นอย่างนี้ ก็ย่อมมีเหตุ มีปัจจัยในอดีตที่ทำให้ผลปรากฏอย่างนี้ด้วย และจะเป็นอย่างนี้เรื่อยๆ ตามควรแก่เหตุปัจจัย เมื่อยังมีกิเลสอยู่ แม้ว่าให้ทาน แต่บางครั้งอาจจะมีจิตริษยาในลาภสักการะของคนอื่น หรือว่าบางครั้งก็มักโกรธด้วย

ข้อความต่อไปมีว่า

เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว พระนางมัลลิกาเทวีได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ในชาติอื่นชะรอยหม่อมฉันจะเป็นผู้มักโกรธ มากไปด้วยความแค้นใจ ถูกว่าแม้เล็กน้อยก็ขัดเคือง ฉุนเฉียว กระฟัดกระเฟียด กระด้างกระเดื่อง แสดงความโกรธ ความขัดเคือง และความไม่พอใจให้ปรากฏ ในบัดนี้ หม่อมฉันจึงมีผิวพรรณทราม รูปชั่ว ไม่น่าดู

แต่ในชาติอื่นหม่อมฉันคงได้ให้ทาน คือ ข้าว น้ำ ผ้า ยวดยาน ระเบียบดอกไม้ ของหอม เครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่อยู่อาศัย และประทีปโคมไฟ บัดนี้หม่อมฉันจึงเป็นคนมั่งคั่ง มีทรัพย์มาก มีโภคสมบัติมาก

ในชาติอื่น หม่อมฉันคงจะไม่มีใจริษยาในลาภ สักการะ ความเคารพ ความนับถือ การไหว้ และการบูชาของผู้อื่น ไม่เกียดกัน ไม่ตัดรอน ไม่ผูกความริษยา ในบัดนี้ หม่อมฉันจึงมีศักดิ์สูง

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็นางกษัตริย์บ้าง นางพราหมณีบ้าง นางคฤหบดีบ้าง มีอยู่ในราชสกุลนี้ หม่อมฉันได้ดำรงความเป็นใหญ่ยิ่งกว่าหญิงเหล่านั้น

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ตั้งแต่วันนี้ไป หม่อมฉันจักไม่โกรธ ไม่มากไปด้วยความแค้นใจ ถึงถูกว่ากล่าวมาก ก็จักไม่ขัดเคือง ไม่ฉุนเฉียว ไม่กระฟัดกระเฟียด ไม่กระด้างกระเดื่อง ไม่แสดงความโกรธ ความขัดเคือง และความไม่พอใจให้ปรากฏ จักให้ทาน คือ ข้าว น้ำ ผ้า ยวดยาน ระเบียบดอกไม้ ของหอม เครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่อยู่อาศัย และประทีปโคมไฟแก่สมณพราหมณ์ จักไม่มีใจริษยาในลาภ สักการะ ความเคารพ ความนับถือ การไหว้ และการบูชาของผู้อื่น จักไม่เกียดกัน ไม่ตัดรอน ไม่ผูกความริษยา

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก ฯลฯ ขอพระผู้มีพระภาคโปรดทรงจำหม่อมฉันว่า เป็นอุบาสิกาผู้ถึงสรณะตลอดชีวิต ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป

ต้องการผลอย่างไหน ทุกอย่างที่ดีใช่ไหม เพราะฉะนั้น ต้องมาจากเหตุทุกอย่างที่ดีด้วย คือ เป็นผู้ที่ไม่ตระหนี่ มีการให้ และในขณะเดียวกันก็ต้องเป็นผู้ที่มีจิตใจที่ดีงาม ไม่ผูกโกรธ ไม่ริษยา ไม่เกียดกัน ในลาภสักการะ หรือว่าการเคารพนับถือของบุคคลอื่นด้วย

ถ้าเป็นผลของทาน หรือเป็นผลของกุศลทุกประการ ย่อมนำมาซึ่งผลที่ดีทั้งนั้น ใน ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค ลักขณสูตร ซึ่งพระผู้มีพระภาคได้ตรัสกับท่านพระภิกษุทั้งหลายในครั้งที่พระองค์เคยเป็นมนุษย์ในชาติก่อน ในภพก่อน ในกำเนิดก่อนว่าเพราะเหตุใดพระองค์จึงได้ทรงประกอบด้วยมหาปุริสลักษณะ เป็นความสมบูรณ์พร้อมของรูปสมบัติ ซึ่งไม่มีใครเกินพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า และได้ทรงแสดงไว้ว่า การที่ผล คือ รูปสมบัติที่ไม่มีบุคคลใดเปรียบได้นั้น เป็นผลของกุศลต่างๆ ซึ่งพระผู้มีพระภาคตรัสกับพระภิกษุทั้งหลายถึงครั้งที่พระองค์ทรงเคยเป็นมนุษย์ในชาติก่อน ภพก่อน กำเนิดก่อนว่า พระองค์เป็นผู้ที่มีสมาทานมั่นในกุศลธรรม ตั้งมั่นในการเจริญกุศล ในการบำเพ็ญคุณความดี มีสมาทานไม่ถอยหลังในกายสุจริต ในวจีสุจริต ในมโนสุจริต มีความตั้งมั่นที่จะบำเพ็ญสุจริตทั้งกาย ทั้งวาจา ทั้งใจ ในการบำเพ็ญทาน ในการสมาทานศีล ในการรักษาอุโบสถ ในการปฏิบัติดีในมารดา ในการปฏิบัติดีในบิดา ในการปฏิบัติดีในสมณะ ในการปฏิบัติดีในพราหมณ์ ในความเป็นผู้เคารพต่อผู้ใหญ่ในสกุล และในธรรมเป็นอธิกุศลอื่น ๆ

ไม่เว้นเลย ไม่ว่าจะเป็นกุศลขั้นกายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต การบำเพ็ญทาน การสมาทานศีล การรักษาอุโบสถ การปฏิบัติดีในมารดา การปฏิบัติดีในบิดา การปฏิบัติดีในสมณะ การปฏิบัติดีในพราหมณ์ ในความเป็นผู้เคารพต่อผู้ใหญ่ในสกุล และในธรรมเป็นอธิกุศลอื่นๆ

พระองค์ตรัสว่า พระองค์ย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก เพราะกรรมนั้นอันตนทำ สั่งสม พอกพูน ไพบูลย์ พระองค์ทรงครอบงำเทวดาทั้งหลายอื่นในโลกสวรรค์โดยสถาน ๑๐ คือ อายุทิพย์ วรรณะทิพย์ ความสุขทิพย์ ยศทิพย์ ความเป็นอธิบดีทิพย์ รูปทิพย์ เสียงทิพย์ กลิ่นทิพย์ รสทิพย์ และโผฏฐัพพะทิพย์ ครั้นจุติจากโลกสวรรค์นั้นแล้ว มาถึงความเป็นอย่างนี้ ชาติสุดท้ายที่จะบรรลุความเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น พระองค์ย่อมได้ซึ่งเฉพาะมหา ปุริสลักษณะทั้ง ๓๒ ประการ ซึ่งมหาปุริสลักษณะทั้งหมดเป็นผลของกุศลธรรมทุกประเภท ตามที่พระองค์ได้ทรงแสดงไว้ว่า พระองค์ทรงเป็นผู้ที่สมาทานมั่นในกุศลธรรม

สำหรับมหาปุริสลักษณะซึ่งเป็นผลของการให้ของควรเคี้ยว และการให้ของควรบริโภคอันประณีตและมีรสอร่อย พระผู้มีพระภาคทรงแสดงไว้ว่า ผลของการที่ทรงให้ของควรเคี้ยวและของที่ควรบริโภคอันประณีต มีรสอร่อยนั้น เป็นเหตุทำให้ทรงมี พระมังสะเต็มในที่ ๗ สถานในมหาปุริสลักษณะ คือ พระองค์เคยเป็นมนุษย์ในชาติก่อน ภพก่อน กำเนิดก่อน เป็นผู้ให้ของที่ควรเคี้ยว และของที่ควรบริโภคอันประณีตและมีรสอร่อย และให้น้ำที่ควรซด ควรดื่ม พระองค์เข้าถึงสุคติโลกสวรรค์เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก เพราะกรรมนั้นอันตนทำ สั่งสม พอกพูน ไพบูลย์ ครั้นจุติจากโลกสวรรค์นั้นแล้วมาสู่ความเป็นอย่างนี้ ย่อมได้เฉพาะมหาปุริสลักษณะนี้ คือ มีมังสะอูมในที่ ๗ สถาน คือ ที่หลังพระหัตถ์ทั้ง ๒ มีมังสะอูม ที่หลังพระบาททั้ง ๒ มีมังสะอูม ที่บนพระอังสาทั้ง ๒ มีมังสะอูม ที่ลำพระศอ มีมังสะอูม เมื่อเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ได้รับผลข้อนี้ คือ ทรงได้ของที่ควรเคี้ยว และของที่ควรบริโภคอันประณีตและมีรสอร่อย และทรงได้น้ำที่ควรซด ควรดื่ม

นี่เป็นผลของกุศลที่ได้ทรงบำเพ็ญ

เปิด  235
ปรับปรุง  2 มิ.ย. 2565