การครองเรือนไม่เป็นเครื่องกั้น
วันชัย และผู้ที่ยังครองเรือน เขาสามารถเจริญกุศลในพระพุทธศาสนาได้มากน้อยแค่ไหน
ท่านอาจารย์
เพราะฉะนั้นทุกคนก็รู้จักตัวเองว่า ถ้าเราไม่ได้สะสมอัธยาศัยใหญ่ ที่จะละอาคารบ้านเรือน ไม่ใช่ละเพียงอาคารบ้านเรือน ละวงศาคณาญาติ พี่น้องทั้งหมด ไม่ใช่เท่านั้น ละความสนุกสนานทั้งหมด ละชีวิตความเป็นอยู่ที่เคยสะดวกสบายทั้งหมดเพื่อที่จะมีชีวิตที่เรียบง่าย สะดวกต่อการที่จะไม่ติดข้องอย่างคฤหัสถ์ แล้วก็ศึกษาและปฏิบัติธรรม ถ้าเราไม่ได้มีอัธยาศัยอย่างนั้นจริงๆ พุทธบริษัท คือ สาวกผู้ฟังพระธรรมมีทั้งคฤหัสถ์และบรรพชิต ทั้งที่ครองเรือนและไม่ครองเรือน ผู้ที่เป็นคฤหัสถ์และครองเรือนก็สามารถเป็นพระโสดาบันได้ เป็นพระสกทาคามีบุคคลได้ รู้แจ้งอริยสัจธรรม เมื่อถึงความเป็นพระอนาคามี จึงจะละการครองเรือน
นี่ก็แสดงให้เห็นว่า เป็นเรื่องจริง เป็นชีวิตจริง พระพุทธศาสนาไม่ใช่ศาสนาเพ้อฝัน ไม่ใช่ศาสนาที่ให้เราทำสิ่งที่ไม่ใช่ตัวเราจริงๆ แต่ว่าเราเป็นอย่างไร ก็ให้รู้ตามความเป็นจริงอย่างนั้น และจะรู้จักตัวเองไม่ใช่เฉพาะชาตินี้หรือวันนี้ ยังสามารถรู้ถึงการสะสมเก่าๆ ก่อน ๆ ไม่ว่าครั้งไหนด้วยว่า การที่แต่ละคนจะมีอุปนิสัยโน้มเอียงอย่างไร ก็เพราะมีการสะสมมาที่จะเป็นอย่างนั้น ยิ่งเราเห็นความต่างกันของคนในโลกนี้มากเท่าไร เราก็ยิ่งมองเห็นว่าเป็นไปตามการสั่งสมของแต่ละคน บางคนมีศรัทธามาก บางคนมีปัญญามาก บางคนมีวิริยะมาก บางคนก็มีความเห็นผิดมาก บางคนก็มีความเห็นถูกมาก ซึ่งใครจะไปแก้ไขสิ่งซึ่งสะสมมาที่จะเป็นอย่างนั้นได้ แต่สามารถค่อยๆฟัง ค่อยๆพิจารณาให้เข้าใจถูกต้องขึ้นได้
ถ้ารู้ว่า “เกิด” คืออะไร จะเข้าใจได้เลย คือ จิต ต้องมีจิตเกิด ไม่ใช่ก้อนเนื้อ แต่มีความรู้สึก มีจิตใจเกิดขึ้นเป็นขณะแรก เราถึงใช้คำว่า “คนเกิด” มีทั้งรูปร่างกาย และมีทั้งจิตใจในขณะแรกที่เกิด เพราะฉะนั้นจิตใจที่เกิดในขณะแรก ไม่มีใครไปสร้าง หรือไปทำขึ้นมาได้ ทุกอย่างที่จะเกิดขึ้นต้องมีเหตุปัจจัย สิ่งที่จะทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้น อย่างดอกไม้ ต้องมีดิน ต้องมีน้ำ ต้องมีเม็ด อยู่ดีๆ จะโผล่มาอยู่ในแจกันอย่างนี้ไม่ได้